ปมร้อนข่าวลึก : คดีฮั้วส.ว.สีน้ำเงิน ดีเอสไอ ชงสำนวน กกต.จะตบอย่างไร?
คดีฮั้ว ส.ว. ก็มาถึงวันนี้จนได้ วันที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ร่วมกับ คณะกรรมการเลือกตั้ง หรือ กดต. กระจายกันไปแปะหมายเรียกถึงบ้านของ 55 ส.ว. ทั่วประเทศ เรียกผู้ทรงเกียรติเหล่านั้น ให้เดินทางมารับทราบข้อหาโกงเลือกตั้ง
ระบุพฤติกรรมในหมายเรียกว่า กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาพ.ศ 2561 มาตรา 70 ประกอบมาตรา 36 มาตรา 77(1)และมาตรา 62
กำหนดวันแจ้งข้อหา จะเป็นแบบม้วนเดียวจบ จบภายใน 3 วัน คือวันที่ 19-21 พฤษภาคมนี้ โดยเรียกตัวมาพบดีเอสไอวันละชุด รวม 3 ชุด
ต้องถือว่า ปฏิบัติการสอย ส.ว. แก๊งฮั้วเลือกตั้ง เป็นวันที่สังคมรอคอยมานาน เพราะอยากเห็นการบังคับใช้กฎหมายอย่างศักดิ์สิทธิ์
เนื่องจากประชาชน รู้กันทั้งบ้านทั้งเมือง ว่าการเลือกตั้ง ส.ว. ที่ผ่านมา มีการฮั้ว หรือบล็อกโหวต กันอย่าง อุกอาจ เรียกว่าโคตรโกงกันกลางเมืองก็ว่าได้
จนได้ชาวบ้านอาชีพแปลกๆ พิลึกๆ มาเป็น ส.ว. กันเต็มไปหมด ซึ่งมันผิดปกติ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ถ้าเป็นการเลือกตั้ง อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม
โดยเป้าหมายที่ กกต. กับ ดีเอสไอ มุ่งสอยนั้น จะเป็น ส.ว. สายสีน้ำเงิน ซึ่งถือเป็นมุ้งใหญ่สุด ส่อพิรุธมากสุด แต่การจะเข้าถึงสายสนกลในของ ขบวนการ ส.ว. สายสีน้ำเงิน ต้องบอกว่าไม่ง่าย
เพราะคนบงการ มีประสบการณ์ทางการเมืองสูงส่ง รู้วิธีเอาชนะกติกาการเลือกตั้ง แทบจะมีลักษณะ "เหยียบหิมะไร้ร่องรอย"
เช่น ขณะผู้สมัครเลือกตั้ง ต้องเดินทางมากทม. 2 ครั้งนั้น การ เปิดโรงแรมให้ มาอยู่รวมกัน ในที่ใดที่หนึ่ง ก็ไม่มีหลักฐานจัดการใดๆที่โรงแรมให้ แม้แต่การจ่ายค่าห้องพัก
แต่ให้ผู้สมัครแต่ละคน ไปนอนโรงแรมเองตามอัธยาศัยเพื่อไม่ให้มี ลักษณะพิรุธผิดสังเกต ว่ามีการจัดการ โดยใครคนใดคนหนึ่ง
ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ค่าอยู่ ค่ากิน ค่าจ้าง ล้วนจ่ายด้วยเงินสดทั้งสิ้น ไม่มีการโอนเข้าบัญชีใดๆ ไม่ว่าบัญชีตรงหรือบัญชีม้า
แต่ดีเอสไอ ซึ่งมีอดีตมือสอบสวนตัวฉกาจ อย่าง พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม กำกับดูแล ก็หาวิธีรวบรวมพยานหลักฐาน จนเจาะเข้าถึงเบื้องหลังขบวนการฮั้ว ส.ว.นี้จนได้
ทั้งนี้ ดีเอสไอ ในคดีฮั้ว ส.ว. ต้องเรียกว่าเป็น "ฝ่ายดีเอสไอ" ที่เข้ามาลุยปราบ "ฝ่าย ส.ว สายสีน้ำเงิน" ภายใต้การสั่งการของรัฐมนตรีทวี สอดส่อง
ฝ่ายจับผิดส.ว. แสดงออกอย่างมุ่งมั่น ต้องทลายป้อมค่ายของ ฝ่าย ส.ว. สายสีน้ำเงิน ของพรรคภูมิใจไทยให้ได้ เพราะเป็นเสี้ยนหนามทางการเมือง ของพรรคเพื่อไทย
แต่อุปสรรคสำคัญของคดีนี้ ก็คือ ดันมีคนคุ้นเคยพรรคภูมิใจไทย มานั่งเป็นเลขาธิการ กกต. คือ นายแสวง บุญมี
ก่อนหน้านี้ เป็นที่รู้กันว่า นายแสวง บุญมี ผู้นี้ เป็นเด็กที่ทำงาน รับใช้ตระกูลชิดชอบ มาตั้งแต่ยุคของ นายชัย ชิดชอบ พ่อของนายเนวิน ชิดชอบ
จึงหวั่นว่า ประโยค"กกต. ก็ของเรา"จะกลับมาหลอกหลอนอีกครั้งหรือไม่
เพราะกกต. ยุคนี้ แทบไม่ขยับทำอะไรต่อคดี ฮั้ว ส.ว ทั้งที่ มี ส.ว.สอบตก ร้องเรียนต่อกกต. ตั้งแต่หลังเลือกตั้งจบลง แค่เดือนเดียว
ฝ่ายดีเอสไอ เห็น กกต. ไม่เต็มใจทำคดี ก็ไม่ยอมเลิกราง่ายๆ เลยระดมสรรพกำลังทำงานแทนกกต. ออกไปสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน ตามอำเภอและจังหวัดต่างๆ
จนได้หลักฐานครบพอจะแจ้งข้อหาต่อ ผู้กระทำผิด จึงชงหลักฐาน ทั้งหมดให้กับกกต.หลังจากที่ขอให้เป็นคดีพิเศษได้บางข้อหา
เรียกว่า ชงหวาน ให้ กกต. ตบ เท่านั้น
กกต. ตอนนี้ก็เลยเจอไฟต์บังคับ ต้องร่วมทำคดีนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะสังคมจับตา การทำงานของนาย แสวง บุญมี เลขาธิการกกต. ว่าจะวางตัวอย่างไร
เพราะในขั้นสุดท้าย คดีจะต้องผ่านการวินิจฉัยสำนักงานเลขาธิการกกต.โดยนายแสวง บุญมี ในฐานะเลขาธิการ กกต.หากนายแสวง ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ก็อาจ สร้างความไม่พอใจให้กับผู้มีพระเดชพระคุณ หากจะทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลอง ต่อต้านฝ่ายดีเอสไอ ก็มีสิทธิ์โดนคดีเสียเอง จึงยังไม่แน่ชัดว่า นายแสวง บุญมี จะเลือกทางออกด้วยการไขก๊อก หนีเผือกร้อนก้อนนี้ ไปเลยหรือไม่
อย่างไรก็ตาม จะว่าไปแล้ว คดีฮั้ว ส.ว. มันก็ไม่ต่างอะไรนักกับคดีนายทักษิณ ชินวัตร ป่วยทิพย์ แหกคุกไปนอนชั้น 14 คือประชาชน รู้กันทั้งนั้น ว่ามีเรื่องแปลกพิกลเกิดขึ้นในบ้านเมือง ทั้งคดีป่วยทิพย์และทั้งคดีฮั้ว ส.ว.แต่กลไกอำนาจรัฐ มีความพยายามช่วยเหลือ เตะถ่วง หน่วงเวลา กันอย่างหน้าด้านๆ