เพียง 8 วันหลังจากได้รับชัยชนะอย่างผิดคาดที่แคนาดา นายกฯ คนใหม่ของแคนาดาได้ตัดสินใจนำคณะไปพบ ปธน.ทรัมป์ ซึ่งเป็นผู้นำประเทศเพื่อนบ้านที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร และได้เคยพูดเหยียดประเทศแคนาดาว่า เป็นประเทศที่เหมาะจะเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ ถึงขนาดดูถูกผู้นำแคนาดาคนก่อน (อดีตนายกฯ จัสติน ทรูโด) ว่าเป็นแค่เพียงผู้ว่าการรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ เท่านั้น
หลังจากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายนปีที่แล้ว อดีตนายกฯ จัสติน ทรูโด ได้รีบบินไปที่คฤหาสน์มาร์อาละโกของทรัมป์ที่ฟลอริดา เพื่อแสดงความยินดีในชัยชนะของทรัมป์ ขณะเดียวกันที่ทรัมป์ได้แสดงอาการข่มขู่และบูลลีจัสติน ทรูโด โดยบอกว่า แคนาดาจะมีชีวิตที่รุ่งเรืองกว่านี้ ถ้ามาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯเพราะอัตราภาษีรายได้จะต่ำกว่าที่แคนาดา (ขณะนี้ ทรัมป์จะพยายามลดอัตราภาษีรายได้ที่สหรัฐฯ จาก 21% มาอยู่ที่เพียง 15%...โดยในสมัยแรกของทรัมป์นั้น เขาสามารถผ่านกฎหมายลดอัตราภาษีรายได้จาก 30% ลงมาเหลือเพียง 21% ซึ่งมีผลบังคับใช้ 6 ปี และจะต้องมีการพิจารณาใหม่ในปี 2026 นี้)
การทำตัวนอบน้อม,ไม่ตอบโต้รักษาศักดิ์ศรีของชาวแคนาดาทำให้คะแนนนิยมของอดีตนายกฯ จัสติน ทรูโด ตกฮวบลง ประกอบกับเป็นสมัยที่ 3 ของนายกฯ จัสติน ทรูโด ซึ่งก็มีปัญหาด้านเศรษฐกิจอื่นๆ รุมเร้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่อยู่อาศัยที่แพงสุดเอื้อม โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งก่อตั้งครอบครัว และการเปิดประเทศรับผู้อพยพ ซึ่งมีเงินทุนไหลเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์พร้อมๆ กัน ทำให้ประชาชนไม่พอใจจัสตินในสมัยที่ 3 นี้ (เป็นปีที่ 9 ของเขาในตำแหน่งนายกฯ)
ในวันที่ 20 มกราคม ที่ทรัมป์เข้าสาบานตนรับตำแหน่งปธน. อดีตนายกฯ จัสติน ก็ยังไปร่วมงานสาบานตนของทรัมป์ด้วยซ้ำ แต่ก็มิวายถูกจักรพรรดิทรัมป์บูลลีว่า เขาคือผู้ว่าการรัฐ (Governor) ที่ 51 ของสหรัฐฯ
ขณะนั้น จัสตินได้ตัดสินใจลาออกจากนายกฯ แคนาดาแล้ว แต่ยังรักษาการอยู่ จนกว่าพรรคลิเบอรัลของเขาจะเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่...ซึ่งต่อมาพรรคได้เลือกอดีตผู้ว่าการธนาคารชาติ ทั้งที่แคนาดาและที่อังกฤษเข้ามารับตำแหน่งทั้งหัวหน้าพรรคลิเบอรัล และนายกรัฐมนตรีแทนจัสติน ทรูโด
คะแนนนิยมของพรรคลิเบอรัลช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างจัสติน ทรูโด และมาร์ค คาร์นีย์ ตามหลังพรรคคู่แข่งคือ พรรคอนุรักษนิยมถึง 25-30% ทีเดียว เพราะประชาชนดูจะต้องการเปลี่ยนคณะผู้บริหาร (ที่เคยบริหารมายาวนานถึง 9 ปีแล้ว) มาเป็นพรรคฝ่ายค้านบ้างซึ่งหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านนี้ ก็ทำตัวเหมือนทรัมป์แห่งแคนาดาโดยเสนอลดภาษี (คนรวย); จัดการกับผู้อพยพเข้าเมืองจำนวนมาก เหมือนกับต่อต้านการอพยพเข้าเมืองจำนวนมาก
ตั้งแต่วันแรกที่ทรัมป์เข้าบริหารที่ทำเนียบขาว เขาออกนโยบายรายวัน โดยเริ่มจากการจับผู้อพยพผิดกฎหมายในสหรัฐฯ และทำการถ่ายทอดสดการเนรเทศออกนอกประเทศ โดยไม่แยแสต่อกระบวนการยุติธรรมที่ต้องนำผู้ต้องหาผ่านขบวนการพิจารณาของศาลก่อนที่จะต้องเนรเทศหรือไม่
พร้อมๆ กับนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าจากทั่วโลก ซึ่งแคนาดาและเม็กซิโกเป็นสองประเทศแรกที่โดนก่อนเพื่อนในเรื่องอะลูมิเนียมและเหล็กกล้า เพราะทรัมป์ต้องการผลิตเหล็กและอะลูมิเนียมเองในสหรัฐฯ เพื่อนำเอาการผลิตและการจ้างงานกลับมาสู่สหรัฐฯ
ทรัมป์ยังกล่าวหาว่าแคนาดาจงใจหรือไร้ประสิทธิภาพในการตรวจตราที่บริเวณชายแดนระหว่างแคนาดาและสหรัฐฯ ทำให้มีการลักลอบขนทั้งสารเสพติด-เฟนตานิล และผู้ลักลอบอพยพผิดกฎหมายข้ามเข้ามาสู่ประเทศสหรัฐฯ
ทรัมป์บอกว่า ต้องลงโทษการกระทำหละหลวมของผู้นำแคนาดา (พรรคลิเบอรัล)ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทุกชนิดจากแคนาดา (ไม่รวมรายการที่อยู่ในข้อตกลงการค้าเสรีUSMCA) สูงขึ้น 25%ตามมาด้วยภาษีรถยนต์และอุปกรณ์รถยนต์จากแคนาดาลงอีก 25% หรือปกป้องอุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐฯ
เมื่อมาร์ค คาร์นีย์ เข้ามาเป็นนายกฯ แทนทรูโด เขารีบประกาศยุบสภาเลือกตั้งใหม่ โดยหาเสียงนำชาวแคนาดาสู้กับนโยบายขึ้นภาษีฝ่ายเดียว (Unilateral Tariff) ของจักรพรรดิทรัมป์ ที่ละเมิดกฎ WTO และนำเรื่องเข้าฟ้อง WTO ด้วย
เขาหาเสียงเรียกร้องให้ชาวแคนาดาร่วมกับเขา เพื่อต่อสู้การข่มเหงรังแกของทรัมป์ที่ประกาศตลอดเวลาจะเอาแคนาดาเป็นรัฐที่ 51 โดยเริ่มจากจะขอซื้อก่อนและเปิดทางว่า จะทำทุกอย่างเพื่อได้ครอบครองแคนาดา!!ผลการเลือกตั้งพลิกอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อคาร์นีย์ชนะอย่างราบคาบ ขณะที่หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน (ทรัมป์แห่งแคนาดา) แพ้หลุดลุ่ย และตัวเองก็ถึงกับสอบตก!ปี 2025 นี้ แคนาดาจะเป็นประธานของที่ประชุม G7 ด้วย ซึ่งคาร์นีย์ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะหว่านล้อมให้เหล่าสมาชิกอีก 5 ประเทศ (ไม่รวมสหรัฐฯ) มีความเห็นร่วมกันที่จะต่อสู้กับการขึ้นภาษีนำเข้าฝ่ายเดียวของทรัมป์
ทั้งเป็นธรรมเนียมที่ผู้นำคนใหม่ของแคนาดาจะไปเยือนสหรัฐฯ เป็นประเทศแรก และเพื่อเชื้อเชิญทรัมป์มาร่วมประชุม G7ที่แคนาดาด้วย (ซึ่งครั้งนี้นายกฯ มาร์ค คาร์นีย์ ได้เชิญผู้นำออสเตรเลีย-ที่เพิ่งชนะเลือกตั้งในลักษณะที่ถล่มทลายต่อผู้นำฝ่ายค้านที่เป็นเสมือนทรัมป์แห่งออสเตรเลียเช่นกัน-โดยจะมาร่วมแบบผู้สังเกตการณ์)
นายกฯ มาร์ค คาร์นีย์ ได้พูดกับจักรพรรดิทรัมป์ที่ห้องรูปไข่ ในการแถลงข่าวร่วมกันว่า “ด้วยความเคารพ ท่านปธน.ทรัมป์ ท่านคงตระหนักดีในฐานะผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์-ว่า ในบางกรณี แม้อยากจะเข้าซื้อที่ดินบางแปลงที่สวยงามมาก เพื่อนำมาพัฒนา-แต่บางแปลงก็ไม่สามารถซื้อมาได้ เพราะเจ้าของเขาไม่ปรารถนาจะขายแต่อย่างใด ยกตัวอย่างเช่นอาคารทำเนียบขาวหรือห้องรูปไข่ที่เรากำลังนั่งอยู่ขณะนี้ รวมทั้งพระราชวังบักกิงแฮมของอังกฤษ ท่านปธน.ทรัมป์ก็เคยไปเยือนมาแล้ว
ผมเองได้พบปะกับเจ้าของแผ่นดินแคนาดาจำนวนมากตลอดเวลาที่รณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง...พวกเขาต่างบอกผมว่าแผ่นดินแคนาดาไม่มีไว้สำหรับขายแต่อย่างใด! จะไม่มีทางจะขายอย่างแน่นอน พวกเขาได้มอบอาณัติด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นให้แก่ผมซึ่งต้องทำตามความต้องการของพวกเขา...คือnever ever for sale
แม้ทรัมป์จะตอบทันควันว่า อย่าใช้คำว่า“never” (เพราะอนาคตอาจไม่แน่นอน) แต่นายกฯ คาร์นีย์ก็สวนกลับทันที“never,never,never” คือ แน่ยิ่งกว่าแน่ที่สุด!!