xs
xsm
sm
md
lg

ปมร้อนข่าวลึก : Me Too Marketing การตลาดกินปลาเล็ก รอวันที่กติกาเป็นธรรม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปมร้อนข่าวลึก : Me Too Marketing การตลาดกินปลาเล็ก รอวันที่กติกาเป็นธรรม

เมื่อเร็วๆนี้เพิ่งมีกระแสในโลกออนไลน์ที่นำมาสู่การแสดงความคิดเห็นในวงกว้างพอสมควร สำหรับกรณีที่ "นิหน่า สุฐิตา" อดีตนักร้องและพิธีกรดัง ได้ออกมาโพสต์ภาพผลิตภัณฑ์ "ออมุก" แบรนด์ของตัวเองที่มีการวางจำหน่ายภานในร้านสะดวกซื้อชื่อดัง โดยเป็นภาพที่มีผลิตภัณฑ์ออมุกจากแบรนด์ใหญ่ชื่อดังวางขายคู่กัน และติดป้ายโปรโมชั่นส่วนลดอีกด้วย

กลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ 'นิหน่า' ระบุข้อความว่า "เสียใจมาก เราเป็นบริษัทเล็กๆ ทำสินค้าขายแต่ละตัว กว่าจะได้คิดมาเป็นปีๆ พัฒนาสินค้ากว่าจะผ่าน กว่าจะให้คนรู้จัก พอจะขายได้ ติดตลาด สรุปเจ้าใหญ่ที่เราไปขาย ทำขายเอง ฝากอุดหนุนออมุกของ Happy Munchy ด้วยนะคะ ของเราไม่มีผงชูรส อร่อยจากเนื้อปลาแท้ๆนะ มีสินค้าอื่นๆอีกเยอะเลย ฝากติดตามแบรนด์เล็กๆของนิหน่ากับเพื่อนด้วยนะคะ ฮือออออออออ เสียใจ"

จากประเด็นดังกล่าวที่เกิดขึ้นนั้น ถ้ามองในแง่ของธุรกิจเรียกว่าเป็นการทำการตลาดแบบ ‘Me Too Marketing’ หรือการตลาดแบบ “ฉันก็มีเหมือนกัน” กล่าวคือ เป็นการใช้กลยุทธ์ที่เจ้าของผลิตภัณฑ์รายหนึ่งสร้างสินค้าหรือบริการที่ใกล้เคียงกับคู่แข่งที่ประสบความสำเร็จ เพื่อเข้าสู่ตลาดและเข้ามาแข่งขันในพื้นที่ส่วนแบ่งการตลาดเดียวกัน

การทำการตลาดแบบนี้เปรียบไปก็เหมือนเป็นเหรียญสองด้าน โดยถ้ามองในมุมของผู้บริโภคแล้วแน่นอนว่าการมีสินค้าหรือการบริการมากขึ้นในตลาดย่อมเป็นผลดีต่อผู้บริโภคเองว่าจะตัดสินใจอย่างไรต่อสินค้าหรือบริการดังกล่าว โดยไม่ต้องถูกผูกขาดไว้กับผู้ผลิตสินค้าหรือผู้ให้บริการเพียงไม่กี่ราย แต่ถ้ามองในเชิงผู้ประกอบการหรือธุรกิจแล้ว ก็ถือว่าแอบมีคำถามให้ชวนคบคิดเช่นกัน

อย่างในกรณีของผลิตภัณฑ์ 'ออมุก' ที่ว่านี้ไม่ได้เป็นรายแรกที่โดนคลื่นลมของกระแสการตลาดแบบ‘Me Too Marketing’ ซึ่งเรื่องนี้ถ้ามองอย่างรอบด้านแล้วไม่มีฝ่ายใดผิดฝ่ายใดถูก เพราะในโลกของธุรกิจการค้าแล้ว ต่างฝ่ายต่างมีเสรีภาพได้อย่างเต็มที่ ตราบใดที่ไม่ได้เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายบ้านเมือง

ฟังดูแล้วอาจจะดูโหดร้าย แต่ความจริงก็เป็นเช่นนั้น เพราะภายใต้โลกการค้าเสรีในปัจจุบัน กลับพบว่ากติกาของประเทศไทยไม่ได้เอื้อต่อการคุ้มครองหรืออุ้มชูธุรกิจรายเล็กให้สามารถทำธุรกิจได้อย่างเติบโตและพัฒนาต่อยอดเพื่อเป็นฟันเฟืองที่สำคัญของประเทศ

ถ้าจะมีกฎหมายไหนที่ใกล้เคียงที่สุดกับการเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการรายเล็กที่เปรียบเหมือนเป็นปลาเล็กในมหาสมุทร คือ พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 ที่มีวัตถุประสงค์ครอบคลุมใน 3 เรื่องสำคัญ ประกอบด้วย 1.การใช้อำนาจเหนือตลาดที่กระทบต่อการแข่งขัน 2.ความตกลงท่ามกลางธุรกิจที่ก่อให้เกิดการแข่งขันไม่เป็นธรรม 3.การป้องกันการควบรวมกิจการที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาด

แต่ก็ไม่ได้ควบคุมไปถึงการทำสินค้าหรือบริการที่ใกล้เคียงมาแข่งขันกันในตลาด เพราะภาครัฐเองมองว่าไม่ว่ารายเล็กหรือรายใหญ่ก็ต่างมีเสรีภาพในการทำธุรกิจไม่ต่างกัน แต่ภาครัฐเองก็ไม่เคยมีแนวทางควบคุมการทุ่มตลาดอย่างไร

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้เป็นคลื่นลมที่ผู้ประกอบการในประเทศไทยกำลังเผชิญเท่านั้น เพราะยังต้องมารับผลกรรมจากสงครามการค้าโลกระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ที่อาจทำให้สินค้าจากจีนทะลักเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ราคาสินค้าถูกกดต่ำลงอย่างมาก กระทบต่อผู้ประกอบการภายในประเทศ เป็นอีกสถานการณ์ที่วันนี้เรายังไม่เห็นว่าหน่วยงานภาครัฐจะมีแนวทางในการรับมือกับเรื่องที่ว่านี้อย่างไร

ดังนั้น ถ้ารัฐบาลชุดนี้จะมีอะไรที่พอจะสร้างเป็นคุณูปการให้กับผู้ประกอบการไทยได้บ้าง เห็นจะเป็นการออกกฎหมายหรือมาตรการทางการค้าหรือการทำธุรกิจที่ให้เกิดความเป็นธรรม โดยไม่ได้เอาเรื่องเสรีภาพของการทำธุรกิจมาเป็นตัวตั้งเพียงอย่างเดียว เพราะเศรษฐกิจไทยจะเดินหน้าไปได้ก็ต้องอาศัยทุกฟันเฟืองและทุกหน่วยของสังคมช่วยกันร่วมขับเคลื่อนไปให้ได้มากที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น