xs
xsm
sm
md
lg

ปมร้อนข่าวลึก : ถึงเวลาจัดหนัก พวกหิวแสงให้เด็ดขาด เพจดังทำตร.สมองแตก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปมร้อนข่าวลึก : ถึงเวลาจัดหนัก พวกหิวแสงให้เด็ดขาด เพจดังทำ ตร.สมองแตก

กรณีพจดังไลฟ์สดเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านตรวจจับความเร็ว บริเวณเกาะกลาง ต.บ้านหม้อ อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี จนทำให้ด.ต.ศุภมิตร พวงประเสริฐ ผบ.หมู่งาน จราจร สภ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี นายตำรวจที่ประจำจุดตั้งกล้องวัดความเร็ว เกิดอาการวูบชักเกร็งถึง 12 ครั้งก่อนจะหมดสติ เพื่อนๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจในด่านดังกล่าวจึงได้เรียกรถพยาบาลเพื่อนำส่งรักษาตัว

จากการตรวจของแพทย์พยาบาลเบื้องต้นพบมีอาการเส้นเลือดในสมองแตกเพราะเกิดจากความเครียด อย่างแน่นอน

โดยกรณีนี้ถือเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญในการรักษาความสมดุลระหว่างการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ตำรวจกับอาการหิวแสงแบบออกหน้าออกตาของเพจที่เรียกตัวเอง 'สมาคมนักรบด่านเถื่อน'

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เบื้องต้นครอบครัวของผู้เสียหายเตรียมดำเนินคดีกับแอดมินเพจดังที่ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่อย่างเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เป็นตัวอย่างต่อไป

โดยงานนี้ผู้ก่อเหตุที่เตรียมรับข้อหาไปจุกๆ ด้วยกัน 2 ข้อหา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย 1.มาตรา 14 ว่าด้วยการนำข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์เป็นเท็จ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ 2.มาตรา 16 ว่าด้วยการนำเข้าข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่น่าจะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และ ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท

ที่ผ่านมาบรรดาเหล่านักหิวแสงทั้งหลายต่างเข้าใจแบบครึ่งๆกลางๆว่าเมื่อตนเองในฐานะเป็นประชาชนผู้เสียภาษีแล้ว ย่อมสามารถมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ ซึ่งการคิดเช่นนี้อาจไม่ถูกต้องทั้งหมด โดยเฉพาะกับกรณีของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร หลายต่อหลายครั้งที่ประชาชนมักมีปากเสียงกับตำรวจในประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการกระทำผิดกฎหมายจราจร

ไม่ว่าจะเป็นการถูกล็อคล้อหรือใบสั่ง มักจะแสดงท่าทีต่อต้านและไม่ยอมรับต่อความผิดที่ตนเองได้กระทำขึ้น ผ่านการใช้สื่่อออนไลน์มาทำหน้าที่ประจานการทำหน้าที่ของตำรวจด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย

เหตุการณ์ทำนองนี้มักลงเอยด้วยภาพ 'ไหว้สวย รวยกระเช้า' ของผู้กระทำผิดกฎหมายจราจรที่ดูหมิ่นตำรวจ พร้อมกับอ้างว่าเป็นการกระทำไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ซึ่งความจริงแล้วกลัวกับการต้องถูกดำเนินคดีอาญาในข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานและขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ซึ่งมีบทลงโทษทางอาญาทั้งจำคุกและปรับพอสมควร

อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายประเทศไทยจะออกแบบให้มีการคุ้มครองการทำหน้าที่ของตำรวจ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าตำรวจจะปราศจากการถูกตรวจสอบถ่วงดุลอย่างสิ้นเชิง เพราะอย่างในกรณีข้อพิพาทเกี่ยวกับกฎหมายจราจรนั้น ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาวางหลักการเอาไว้แล้วผู้ถูกใบสั่งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมีสิทธิโต้แย้งคำสั่งของเจ้าพนักงานได้ทุกกรณี

"การที่แบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจรไม่มีข้อความแจ้งสิทธิในอันที่จะปฏิเสธหรืออุทธรณ์โต้แย้งการกระทำความผิดตามที่ระบุไว้ในใบสั่ง และยังปรากฏคำเตือนว่าหากมิได้ชำระค่าปรับภายในกำหนดโดยไม่มีเหตุอันสมควรอาจต้องรับผิดและต้องรับโทษอีกกระทงหนึ่ง ย่อมทำให้ผู้รับใบสั่งเข้าใจว่าตนเป็นผู้มีความผิด และมีหน้าที่ต้องชำระค่าปรับตามใบสั่งดังกล่าวเท่านั้น โดยไม่อาจปฏิเสธ โต้แย้ง หรือดำเนินการในประการอื่นได้ อันเป็นการกระทำละเมิดต่อสิทธิที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองคุ้มครองไว้" หลักการจากคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด

ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่ากฎหมายเปิดโอกาสให้ประชาชนใช้สิทธิโต้แย้งได้ ไม่ได้ทำให้ตำรวจปลอดจากการตรวจสอบเสียทีเดียว เพียงแต่บรรดาคนอยากดังและหิวแสงจำนวนมากเลือกที่จะมองข้าม แต่ยังคงใช้วิธีการเดิมๆ เพื่อสร้างกระแสและเพิ่มยอดจำนวนผู้เข้าชมด้วยความเชื่อที่ว่ายิ่งฉาวยิ่งดัง และยิ่งทำให้มีเงินเข้ากระเป๋ามากขึ้น

ดังนั้น ถ้าตำรวจสามารถจัดการกับกรณีนี้ได้อย่างเฉียบขาด อาจเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ดีต่อไปในอนาคต
กำลังโหลดความคิดเห็น