xs
xsm
sm
md
lg

เปิดซักฟอกวันแรก ถล่มนายกฯหนีภาษี 'บิ๊กป้อม' โดนย้อนศร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดซักฟอกวันแรก ถล่มนายกฯหนีภาษี 'บิ๊กป้อม' โดนย้อนศร

ผ่านไปแล้วสำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันแรกเมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการอภิปรายที่ครบรสอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์เอาไว้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล โดยไฮไลต์ของวันแรกนั้นความสนใจส่วนใหญ่อยู่ที่ประเด็นการอภิปรายของนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เกี่ยวกับพฤติกรรมของนายกฯในการพยายามเลี่ยงภาษี ซึ่งนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

ในเรื่องนี้ นายวิโรจน์ ระบุว่า หลังจากที่นางสาวแพทองธาร ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกฯ เมื่อวันที่18ส.ค.2567 น.ส.แพทองธาร มีการโอนหุ้น19บริษัท มูลค่า 9,330.5 ล้านบาท แต่ที่ผมต้องการถามเป็นแค่การโอนหุ้น 2 บริษัท มูลค่า 393.5 ล้านบาทของตัวเองไปให้กับแม่และพี่สาว ผมขอถามว่าโอนไปด้วยวิธีใด เป็นการให้ หรือขายหุ้น กล่าวคือ นางสาวแพทองธาร ได้หุ้นมูลค่า 2,388.7 ล้านบาท มาจากพี่สาว โดยเป็นการซื้อเชื่อ โดยที่ไม่ได้จ่ายเงินให้กับพี่สาวเลยแม้แต่บาทเดียว ออกตั๋ว PN (ตั๋วสัญญาใข้เงิน) เป็นกระดาษ 4 ใบ ให้พี่สาวไปนอนกอด หุ้นมูลค่า 2,388.7 ล้านบาท เปลี่ยนมือจากพี่สาว ไปอยู่ในมือของนางสาวแพทองธาร เป็นที่เรียบร้อย โดยพี่สาวเป็นเจ้าหนี้ที่แสนดีไม่กำหนดว่าจะจ่ายหนี้ค่าซื้อหุ้นให้พี่สาวเมื่อไหร่ ดอกเบี้ยพี่สาวก็ไม่คิด กรณีพี่ชาย(นายพานทองแท้ ชินวัตร) ก็เหมือนกัน น.ส.แพทองธารได้หุ้นมูลค่า 335.4 ล้านบาท มาจากพี่ชาย โดยการซื้อเชื่อเช่นกัน โดยที่น.ส.แพทองธารไม่ได้จ่ายเงินให้กับพี่ชาย เพียงแต่ออกตั๋ว PN เป็นกระดาษ 1 ใบ ให้พี่ชายเก็บเอาไว้ ไม่มีกำหนดว่าจะจ่ายหนี้ค่าซื้อหุ้นให้พี่ชายเมื่อไหร่ ดอกเบี้ยพี่ชายก็ไม่คิด

"ถ้าน.ส.แพทองธาร ได้หุ้นมาจากการให้ของ พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ก็ต้องเสียภาษีการรับให้ให้กับรัฐ แต่ถ้าน.ส.แพทองธาร ซื้อหุ้นจากพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ น.ส.แพทองธารก็ไม่ต้องจ่ายภาษีเลยแม้แต่สตางค์แดงเดียว และเนื่องจากหลักเกณฑ์การรับรู้รายได้ในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะใช้เกณฑ์เงินสด ซึ่งรายได้จะถูกนับเป็นเงินได้พึงประเมิน ก็ต่อเมื่อมีการรับเงินสดจริง ดังนั้นการที่น.ส.แพทองธาร จ่ายค่าหุ้นที่ซื้อด้วยตั๋ว PN ที่ไม่ได้มีการจ่ายเงินกันจริง จะจ่ายกันเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทำให้พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ไม่ต้องเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเลยแม้แต่บาทเดียว" นายวิโรจน์ ระบุ

ด้านนางสาวแพทองธาร ชี้แจงทันทีเช่นกันว่า ยืนยันว่าเจตนาของตนดำเนินการทุกอย่างถูกต้องตามกระบวนการตามข้อกฎหมาย การกล่าวหาว่าตนหนีภาษี ไม่เป็นความจริง เป็นเรื่องตรงกันข้าม แม้ตนจะอายุน้อยกว่าผู้ที่อภิปราย แต่ตนมั่นใจว่าเสียภาษีมากกว่าท่านแน่นอน เรื่องหุ้นเกิดขึ้นเมื่อปี2559 ก่อนเข้าสู่การเมืองหลายปี โดยมีความตั้งใจปรับโครงสร้างของการถือหุ้นบริษัท คือการซื้อขายผ่านตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือPN ซึ่งการซื้อขายแบบนี้บางรายการไม่มีการเสียภาษีเนื่องจากยังไม่มีการชำระเงิน จึงยังไม่ทราบจำนวน และยังเสียภาษีไม่ได้ ดังนั้นการซื้อขายลักษณะนี้ จึงเป็นภาระหนี้สินระหว่างตนที่เป็นผู้ซื้อ และครอบครัวที่เป็นผู้ขาย ไม่ได้มีพฤติกรรมอำพรางใดๆ

ขณะที่ 'บิ๊กป้อม' พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ลุกขึ้นอภิปรายตามที่ได้ประกาศไว้ โดยตอนหนึ่งระบุว่า ”ผมเห็นใจนายกรัฐมนตรี ที่ต้องเป็นผู้ตัดสินใจ ในเรื่องที่ท่านไม่มีประสบการณ์ แต่เรื่องความมั่นคงของชาติสำคัญอย่างยิ่ง ประเทศชาติไม่ใช่เวที ให้มือสมัครเล่น มาซ้อมมือ ” จากนั้นนางสาวแพทองธาร ได้ชี้แจงสวนไปว่า “สำหรับสมาชิกหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐผู้อาวุโสเมื่อกี้ตนเองได้ฟังท่านผู้และจับเวลานาฬิกาด้วยตัวเอง ท่านผู้ประมาณ 10 นาที และอยากจะบอกว่า ที่ท่านสมาชิกอาวุโสพูดเมื่อสักครู่นี้ไม่เป็นความจริงค่ะ” ก่อนจะยิ้มมุมปากและลงนั่งเก้าอี้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

โดยคำพูดของนายกฯดังกล่าวเป็นไปในลักษณะเดียวกับที่พล.อ.ประวิตร เมื่อครั้งเป็นรองนายกฯ ลุกขึ้นตอบโต้การอภิปรายของส.ส.พรรคเพื่อไทยที่ทำหน้าที่ฝ่ายค้าน

นอกจากนี้ ในส่วนของการประท้วงระหว่างส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน มีให้เห็นประปรายตลอดทั้งวัน แต่มาทะลักจุดเดือดกันในช่วงค่ำเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ระหว่างการอภิปรายโจมตีเรื่องการส่งตัวชาวอุยกูร์ให้กับทางการจีน ถึงขนาดที่นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ต้องลุกขึ้นยืนเพื่อขอให้ทุกฝ่ายอยู่ในความสงบ

โดยเรื่องของเรื่องมาจากการที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อภิปรายชี้แจงพร้อมกับใช้ถ้อยคำในทำนองที่ว่า "ยืนยันว่าทางผู้นำระดับสูงของจีนรับประกันกับนายกฯไทยว่า จะดำเนินการอย่างดีที่สุด ไม่ไปจับเขาเข้าคุก หรือให้เกิดอันตราย เมื่อท่านฟังอย่างนี้ที่ประเทศมหาอำนาจยืนยันมาแบบนี้ จะเชื่อฟังได้หรือไม่ แต่ผมว่าท่านไม่รู้ เพราะไม่เคยเป็นรัฐบาล เป็นแต่ฝ่ายค้าน แล้ววิจารณ์เอาจินตนาการมาด่าคนอื่น ท่านไม่เคยเข้าใจความตั้งใจรัฐบาล ไม่เคยเข้าใจคนอื่น คิดแต่ตัวเอง หมกหมุ่นสนใจอยู่แต่เรื่องตัวเอง" ทำให้ส.ส.ฝ่ายค้าน ขอให้นายภูมิธรรม ถอนคำพูดในเชิงเสียดสีออก แต่นายภราดร เห็นว่า มีการเสียดสีทั้งผู้อภิปราย และผู้ชี้แจง ขอให้รัฐมนตรี ที่เป็นผู้ใหญ่ ใช้ความสุขุมรอบคอบในการชี้แจง

ปรากฎว่านายภูมิธรรม หัวเราะ พร้อมชี้แจงว่า ตนเองสุขุมรอบคอบมากที่สุดแล้ว ยังไม่เคยใช้คำว่ากีกี้ไปว่าสตรี เหมือนกับที่ตัวแทนฝ่ายค้านพูด ซึ่งเป็นคำที่หยาบคาย หยาบโลน สกปรกที่สุด จากนั้น เหตุการณ์ความวุ่นวายก็เริ่มบานปลาย เพราะส.ส.ทั้งสองฝ่ายไม่พอใจ มีการพูดตะโกนข้ามไปมา ก่อนที่ นายภราดรยืนประท้วง ทำให้สมาชิกในที่ประชุมต้องนั่งลงตามข้อบังคับ จากนั้นได้แจ้งกรอบเวลาการอภิปราย โดยสส.พรรคร่วมรัฐบาล และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใช้เวลาชี้แจง 1.21 ชั่วโมง พรรคร่วมฝ่ายค้าน ใช้เวลาอภิปราย 9.11 ชั่วโมง และกล่าวว่า ทราบหรือไม่ว่าเราเสียเวลาประท้วงไปเท่าใด ฝ่ายรัฐบาลใช้เวลาประท้วง 30 กว่านาที ฝ่ายค้านใช้เวลาประท้วงเกือบ 40 นาที ยิ่งประท้วงมาก ประธานฯ ก็ใช้เวลาในการวินิจฉัยมาก ตนเหลือเวลาอีก 3 นาที จากเวลาที่ได้รับจัดสรร 1 ชั่วโมง

"ท่านทราบหรือไม่ว่าการประท้วงของพวกท่าน ประชาชนเขาไม่ต้องการ เขาอยากเห็นการถาม การอภิปรายในญัตติ และอยากเห็นนายกฯ และรัฐมนตรีตอบด้วยเนื้อหาสาระ ซึ่งทั้งหมดประชาชนจะได้ประโยชน์ เพราะฉะนั้นผมขออนุญาตเรื่องที่ไม่เป็นสาระ เรื่องที่ไร้สาระ อย่าให้รกสภาฯ อย่าสร้างความกังวลใจให้ประชาชนมากไปกว่านี้" นายภราดร กล่าว ก่อนที่การประชุมสภาฯจะดำเนินต่อไปได้จนจบการอภิปรายในวันแรก
กำลังโหลดความคิดเห็น