ปมร้อนข่าวลึก : รถขยะคว่ำ "สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง" ทุบ ส.บอล จนเน่าเฟะ
ในการแถลงข่าวผลงานครบรอบ 1 ปีของ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมป์ เมื่อวันก่อน มีช่วงสั้นๆ เท่านั้นที่ “มาดามแป้ง” แสดงถึงความยินดีภูมิใจอวดผลงานการสร้างประโยชน์ พัฒนาวงการลูกหนังไปในทิศทางที่ถูกที่ควร
ก่อนที่สุดท้ายต้องมาเสียน้ำตาให้กับปัญหาที่ผู้บริการสมาคมฯชุดเก่าทิ้งไว้
โดย “มาดามแป้ง” ไม่ได้จัดหนักเฉพาะคดีสยามสปอร์ตฯ แต่ยังเปิดเวที “แฉ“ วีรกรรมของ ”บิ๊กอ๊อด“ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง อดีตนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ 2 สมัย ที่เป็นสาเหตุทำให้สมาคมฯ ต้องมีหนี้สินหลักร้อยล้านบาท และยังต้องมาแพ้คดีเสียหายอีกหลายร้อยล้านบาท ทั้งที่เข้ามาบริหารในช่วงที่ฟุตบอลไทยลีคได้รับความนิยมอย่างสูง มีสิทธิประโยชน์รายได้มหาศาล
โดย “มาดามแป้ง” เปิดเผยว่า หลังเข้ามาบริหารสมาคมฯ ก็พบความไม่ชอบมาพากลหลายเรื่อง จึงตั้ง “คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน" นำโดย ”สส.ป๊อก“ เลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล สส.เลย พรรคเพื่อไทย ไล่เช็กบัญชีรายรับ-รายจ่ายในช่วงสมาคมฯ ยุคก่อน
จากการตรวจสอบก็พบ “ความเน่าเฟะ” ที่สมาคมฯยุค ”บิ๊กอ๊อด“ ทำไว้โดยไร้ “ความละอาย” อย่างที่ “บังยี” วรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมฯ ว่าไว้
ตั้งแต่การหาประโยชน์จากเงินสนับสนุนจาก “ฟีฟ่า” ที่แต่ละปีสมาคมฟุตบอลทั่วโลกจะได้รับปีละ 1.25 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่าๆกัน ซึ่งสมาคมฟุตบอลไทยฯ ก็ได้เช่นกัน แต่เมื่อ “มาดามแป้ง” เข้ามาบริหารปีแรก กลับได้รับเงินจากฟีฟ่าเพียงแค่ 7.5 แสนดอลลาร์สหรัฐ หรือน้อยกว่าที่ควรจะได้ถึง 5 แสนดอลลาร์สหรัฐ
จากการตรวจสอบปรากฎว่า สมาคมฯ ยุค”บิ๊กอ๊อด“ ไปขอกู้เงินจากฟีฟ่า ช่วงเดือนตุลาคม 2563 เป็นจำนวน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทางฟีฟ่าก็อนุมัติ และกำหนดให้สมาคมฯ ชดใช้คืน ด้วยการผ่อนจ่ายเป็นระยะเวลา 10 ปี (ตั้งแต่ปี 2564-2573) ปีละ 5 แสนดอลลาร์สหรัฐ เป็นที่มาของการหักเงินสนับสนุนรายปี
ซึ่งก็เป็นรูปแบบการใช้เงินอนาคต ที่หากไม่จำเป็นไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งในแง่บุคคล หรือแม้แต่องค์กรระดับชาติเช่นนี้ แต่สมาคมฯยุค “บิ๊กอ๊อด” คงคิดว่าอย่างไรเสียก็จะได้รับเงินจากฟีฟ่าทุกๆปีอยู่ ก็แค่เบิกมาใช้ก่อนเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น 5 ล้านเหรียญ หรือราว 155 ล้านบาท ที่ได้มานั้นก็ไม่มีการแจกแจงถึง “ที่ไป” ของเงิน มีเพียงการระบุว่า นำมาใช้จ่ายในช่วงโควิด ที่สมาคมฯ ไม่มีรายได้ แต่ก็ไม่พบหลักฐานว่า ใช้จ่ายในด้านใด หรือไปอยู่ในกระเป๋าใคร
ซึ่งคนรับกรรมก็เป็นสมาคมฯในยุค “มาดามแป้ง” ตลอดวาระ 4 ปี และในสมัยถัดไปไม่ว่าใครจะมาเป็นนายกสมาคมฯ ที่จะได้เงินสนับสนุนจากฟีฟ่าไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะต้องหักผ่อนใช้หนี้ให้กับสมาคมฯยุค ”บิ๊กอ๊อด“ ไปจนถึงทุกปีจนถึงปี 2573
ถัดมาเป็นการเพิ่มค่าจ้าง “ทนายความ” ที่ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด โดยในบัญชีของสมารมฯมีการระบุถึง “ค่าทนาย” หรือค่าวิชาชีพทนายความ ในคดีที่สมาคมฯ ฟ้องร้อง บริษัท สยามสปอร์ต ซินนิเคต จำกัด เรียกค่าเสียหาย 1,139 ล้านบาท ที่เป็นคดีสิทธิประโยชน์ฟุตบอลไทยลีกตอบโต้กรณีสยามสปอร์ตฯ ฟ้องสมาคมฯ จนต้องจ่ายค่าเสีย 360 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย
ตามรายงานระบุว่า สมาคมฯ ยุคนั้นได้ติดต่อว่าจ้างทนายความ พร้อมตกลงค่าใช้จ่ายอยู่ที่ ศาลชั้นต้น 7.5 แสนบาท, ศาลอุทธรณ์ 3 แสนบาท และ ศาลฎีกา 3 แสนบาท
โดยในศาลชั้นต้น กับศาลอุทธรณ์ มีการจ่ายเงินกันไปตามราคาที่ตกลงไว้เรียบร้อย แต่พอถึงศาลฎีกา ซึ่งศาลไม่รับฟ้องคดี จากตัวเลขค่าจ้างที่ตกลงไว้ที่ 3 แสนบาท สมาคมฯกลับจ่ายทนายไปถึง 30 ล้านบาท หรือมากกว่าที่ตกลงไว้ถึง 100 เท่า
ไฮไลท์อยู่ที่ การจ่ายเงิน 30 ล้านบาทให้แก่ทนายเกิดขึ้นก่อน “บิ๊กอ๊อด” จะหมดวาระไม่ถึง 1 เดือนเท่านั้น ทำให้ยากจะมองเป็นอื่น นอกเสียจาก “ทิ้งทวน“ ก่อนจะอำลาตำแหน่งหรือไม่
คล้ายกับกรณีที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มาตลอด ที่ “บิ๊กอ๊อด” เลือกที่จะรับเงินเดือนในฐานะนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ทั้งที่ธรรมเนียมปฏิบัติ ผู้ที่มาทำหน้าที่ตรงนี้ไม่เคยรับเงินเดือนกันมาก่อน เพราะถือเป็นตำแหน่งที่อาสาเข้ามาทำงาน อีกทั้งใครที่จะมาจุดนี้ก็ย่อมต้องมีความพร้อมทางบ้านพอสมควร และไม่ได้หวังจะมากินเงินเดือนนายกสมาคมฯ
ทว่า “พล.ต.อ.สมยศ” ไม่สนใครจะว่าอย่างไรและอนุมัติเงินเดือนในฐานะนายกสมาคมฯให้ตัวถึง เดือนละ 1 ล้านบาท รวมทั้งยังมีรายได้ในฐานะผู้บริหารของบริษัท ไทยลีก อีกจำนวน 1 ล้านบาท รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นเดือนละ 2 ล้านบาท
ครั้งหนึ่งเคยมีการสอบถาม “บิ๊กอ๊อด” ในเรื่องนี้ ก็ได้รับการอธิบายว่า มีการตั้งเงินเดือนให้ตัวเองจริง แต่ก็มีการบริจาคกลับคืนให้สมาคมฯ เป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้รับทั้งหมด แต่หลัง “มาดาทแป้ง” เข้ามาตรวจสอบกลับไม่พบว่า มีเงินบริจาคของ “บิ๊กอ๊อด” ในบัญชีของสมาคมฯ แต่อย่างใด
ประเด็นที่ถือว่า ไม่น่าเชื่อมากที่สุดน่าจะเป็นการตกลงขายสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลเชิงวิเคราะห์ และสิทธิ์เกี่ยวกับเกมการแข่งขัน (Data Analytics และ Gaming Right) ของ ฟุตบอลไทยลีก และ ทีมชาติไทย ให้กับบริษัทเอกชนของประเทศมาเลเซีย
โดยสิทธิ์ที่ว่า เป็นสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของฟุตบอลไทยลีก และทีมชาคิไทย ตั้งแต่เปอร์เซ็นต์การครองบอล, จำนวนนาทีที่ลงสนาม, จำนวนใบเหลือง-ใบแดง แลถระยะทางการวิ่งของผู้เล่นแต่ละคน เป็นต้น
ซึ่งบริษัทที่ซื้อสิทธิ์ไปสามารถนำข้อมูลเหล่านี้สามารถเอาไปใช้ในรูปแบบใดก็ได้ โดยที่สมาคมฯไม่สามารถรับรู้ และไม่สามารถทัดทานโต้แย้งได้เลย ไม่ว่าจะนำไปประกอบเกม หรือสร้างเกมแฟนตาซี หรือแม้แต่ใช้เป็นข้อมูลสำหรับ “วงการพนัน”
ตลอดจนการนำข้อมูลไปศึกษาเชิงลึกในแง่การแข่งขันของคู่ต่อสู้ทั้งในระดับทีมชาติ และทีมสโมสรไทยลีก เพราะต้องไม่ลืมว่าประเทศไทยก็ยังเป็นทีมชั้นนำในภูมิภาค ที่ชาติต่างๆ ก็ต้องการเอาชนะให้ได้ โดยเฉพาะในระดับสโมสรที่ปัจจุบันยกระดับไปถึงระดับเอเชีย ที่มีปัจจุบันมีแมตซ์การแข่งใน เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ระดับต่างๆ ที่มีสิทธิประโยชน์ และรายได้เพิ่มสูงขึ้นทุกปี
ตามสัญญามีการขายสิทธิ์ Data Analytics และ Gaming Right ไปจนถึงปี 2571 โดยตั้งแต่ “มาดามแป้ มาเป็นนายกสมาคมฯ ก็พยายามติดต่อเพื่อขอซื้อสิทธิ์คืน เพราะรู้ดีว่าข้อมูลที่ถูกบริษัทสัญชาติต่างชาติถืออยู่นั้นมีความสำคัญต่อการพัฒนาวงการฟุตบอลไทยขนาดไหน แต่ก็ยังไม้สำเร็จ
และก็อีกเช่นเคยเงินที่ได้จากการขายสิทธิ์ที่ว่ากันว่ามีมูลค่ามากพอสมควร ก็ไม่ปรากฎในบัญชีรายรับสมาคมฯ และก็ไม่รู้ว่าตกไปอยู่ในกระเป๋าใครอีกเช่นกัน
ที่ว่าไปเป็นแค่ตัวอย่างความไม่ชอบมาพากลของสมาคมฯยุค ”บิ๊กอ๊อด“ ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น และไม่น่าเชื่อว่าจะเน่าเฟะได้ขนาดนี้.