บอร์ดคดีพิเศษ ชี้ชะตาฮั้วเลือก ส.ว.'รับ-ไม่รับ-เลื่อน'
ถนนทุกสายเวลานี้ต่างมุ่งตรงไปที่การประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษที่จะมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทำหน้าที่เป็นประธาน เพื่อหาข้อสรุปว่าที่สุดแล้วจะรับกรณีการเลือกส.ว.เป็นคดีพิเศษหรือไม่ โดยการจะรับเป็นคดีพิเศษได้นั้นจะต้องมีเสียงข้างมาก 2 ใน3 จากคณะกรรมการ หรือ 15 คนจากกรรมทั้งหมด 22คน
โดยเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าการประชุมในครั้งนี้จะไม่มีตัวแทนจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.เข้าร่วมตามที่คณะกรรมการคดีพิเศษได้ขอความร่วมมือ ซึ่งสัญญาณที่กกต.ต้องการสื่อเพื่อยืนยันกลับไปว่ากระบวนการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการเลือกส.ว.นั้นเป็นอำนาจของกกต.โดยสมบูรณ์
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เกิดความเคลื่อนไหวมากมาย โดยเฉพาะการเปิดอภิปรายของส.ว.ที่โจมตีการทำงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ อย่างตรงไปตรงมาในทำนองว่าเข้ามาก้าวก่ายการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งจากความเคลื่อนไหวและการแสดงความคิดเห็นของนักกฎหมายหลายคนที่เริ่มมองเห็นว่าดีเอสไอไม่อาจมีอำนาจเข้ามาดำเนินการเรื่องนี้ได้ ก็มีรายงานว่าการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษในวันที่ 6 มีนาคม อาจมีกรรมการมาประชุมไม่ครบทุกคน ทั้งๆที่เป็นเรื่องสำคัญ
ทั้งนี้ มีการรายงานว่ากรรมการในสัดส่วนของผู้ทรงวุฒิทำการแจ้งลาประชุม จำนวน 2 คน คือ พล.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการสอบสวนคดีอาญา พล.ต.ท.สำราญ นวลมา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน โดยระบุว่าติดราชการภารกิจสำคัญ ทำให้เหลือกรรมการมาประชุม 20 คน ส่วน นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มอบหมายให้ นายจิรานุวัฒน์ ธัญญะเจริญ ผอ.อาวุโส ฝ่าย กฎหมาย ธนาคารแห่งประเทศไทย มาประชุมแทน เช่นเดียวกับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมาย พล.ต.ท.ณพวัฒน์ อารยางกูร ผู้ช่วยผบ.ตร.เข้าประชุม
ดังนั้น ต้องรอดูว่าหากที่สุดแล้วมีคณะกรรมการคดีพิเศษมาประชุมเพียง 20 คน หรือน้อยกว่านั้น ถือว่าสุ่มเสี่ยงเหมือนกันที่จะมีเสียงโหวตไม่ถึง 2 ใน3 หรือ 15 คน ประกอบกับการที่ไม่มีกกต.มาให้ข้อมูล จึงมีความเป็นไปได้ที่บทสรุปในวันที่ 6 มีนาคม คือ การไม่มีข้อสรุป และต้องลงเอยด้วยการเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดก่อน เพราะหากฝ่ายการเมืองดึงดันที่จะฝืนโหวตต่อไปก็อาจแพ้กลางที่ประชุมก็เป็นได้