รายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา พาคุณผู้ชมไปรู้จัก “น้องเกรซ” หลานยอดกตัญญูวัยแค่ 8 ขวบ ต้องดูแลทั้งตาและยายที่ตาบอด รวมทั้งน้องสาวอีก 1 คน นอกจากน้องเกรซจะช่วยตายายหารายได้แล้ว น้องยังมีฝันอยากเป็นหมอ เพื่อรักษาตายายให้กลับมามองเห็นอีกครั้ง
ณ บ้านเล็กๆ หลังหนึ่งที่ จ.สมุทรปราการ มีตายายและหลานพักอาศัยอยู่ 4 ชีวิต ครอบครัวนี้ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เพราะเสาหลักในการหารายได้คือ ตาและยายที่ดวงตามองไม่เห็นทั้งคู่ ต้องให้หลานวัยไม่ถึง 10 ขวบช่วยเป็นดวงตานำทางไปทุกที่ ทั้งเวลาไปทำงาน และหาหมอยามเจ็บป่วย ท่ามกลางรายได้ที่หาไม่ง่ายและไม่แน่นอน
“ป้าเก๋” มยุรี ศรีวิชัย ผู้เป็นยาย เล่าถึงเหตุที่ทำให้ดวงตามองไม่เห็นมานานแล้วว่า“ตอนแรกเป็นต้อกระจกธรรมดา เราก็ไม่รู้ ทีนี้ไปหาหมอ หมอก็ตรวจว่าเราเป็นต้อกระจก ต้องรักษาข้างละ 1 หมื่นบาท ตอนนั้นเราทำงานรับจ้างทั่วไป และไม่มีเงินที่จะรักษา พอทิ้งระยะไว้ไม่ถึงเดือน ก็บอดสนิททั้ง 2 ข้างเลย ต้อกระจกสุก”
ขณะที่ “ลุงยอด อินตา” ผู้เป็นตา เผยเหตุที่ทำให้ดวงตามืดสนิทมา 15 ปีแล้วว่า“เกิดจากทำงานเป็นช่าง ช่างอ๊อกช่างเชื่อมตามโรงงาน เพราะความประมาทของเรา ตอนเราจะตัดเหล็กเชื่อมเหล็ก บางทีก็ไม่ค่อยป้องกันตัว หินเจียลูกหินเจียมันก็แตก ระเบิดใส่ลูกตาดำ ตามันค่อยๆ ดับไปทีละข้าง เส้นเลือดใหญ่มันตีบ มันแห้ง มันโดนความร้อน ควันไฟมาก”
หลังดวงตามืดมิด โชคชะตาพาให้ลุงยอดและป้าเก๋ได้มาเจอกันระหว่างไปฝึกการใช้ไม้เท้า ซึ่งการอยู่ในโลกมืดเหมือนกัน ทำให้ทั้งคู่เข้าใจและเห็นใจกัน ก่อนตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน ซึ่งก่อนหน้าจะมาเจอกัน ป้าเก๋เคยมีครอบครัวและลูกมาแล้ว แต่สามีเสียชีวิตไปแล้ว
ลุงยอดและป้าเก๋ยอมรับว่า ปัญหาดวงตามองไม่เห็นเป็นอุปสรรคต่อการหางานทำ ช่วงแรกไม่รู้จะทำอะไรได้นอกจากขอทาน เพื่อให้มีค่ากินค่าอยู่ในแต่ละวัน แต่สุดท้ายได้เปลี่ยนมาเป็นขายของตามตลาดนัด เพื่อหารายได้ดูแลหลานๆ
“ตอนนี้มีหลาน 2 คน คือน้องเกรซกับน้องแก้ว น้องเกรซอายุ 8 ขวบ น้องแก้วอายุ 4 ขวบ (ถาม-แล้วปัจจุบันแม่เขาไปไหน?) แม่เขาก็เลิกกับพ่อเขา ต่างคนต่างมีใหม่ เขาไม่พร้อมจะเลี้ยงลูก”
ปัจจุบัน “น้องเกรซ” ด.ญ.ทิพย์สุดา ศรีวิชัย เรียนอยู่ชั้น ป.2 โรงเรียนวัดแหลม ทุกวันน้องเกรซจะปั่นจักรยานพ่วงน้องแก้วไปโรงเรียน หลังโรงเรียนเลิก กลับถึงบ้าน น้องจะเตรียมตัวเพื่อพาตาและยายไปขายของที่ตลาดนัด โดยยายขายลอตเตอรี่ ตาร้องเพลงเปิดหมวก ส่วนน้องเกรซก็ช่วยหารายได้อีกทางด้วยการขายของเล็กๆ น้อยๆ เช่น พวงกุญแจ ที่คาดผม กิ๊บ ฯลฯ โดยจะขายถึงประมาณ 1 ทุ่ม
รายได้จากการขายของแต่ละวันเอาแน่นอนไม่ได้ แต่รายจ่ายมีแน่นอน เพราะนอกจากค่ากินค่าอยู่ ยังมีค่าเดินทางเพื่อไปขายของที่ตลาดนัด ซึ่งอยู่ไกลพอสมควร ตายายและหลานต้องนั่งวินมอเตอร์ไซค์ไป รวมค่าเดินทางไป-กลับวันหนึ่งก็ 200 กว่าบาทแล้ว
“น้องเกรซเขาขยันมาก ช่วยทุกอย่าง งานบ้าน เป็นหูเป็นตา พาไปโน่นนี่ พาไป รพ. พาไปเอาลอตเตอรี่ เลิกเรียนก็พาไปขายของร้องเพลงที่ตลาด เขาไม่เคยบ่นไม่เคยอะไรเลยนะ (ถาม-คุณตาสอนเขายังไง ทำไมเขาถึงอยากลุกขึ้นมาช่วยตายาย?) ปกติก็ไม่ค่อยได้สอน เขาน่าจะรู้ว่าเราลำบาก ต้องลำบากไปด้วยกัน”
“(ถาม-ดูจากงานที่เราทำรายได้ไม่น่าจะเยอะ เป็นยังไงบ้างรายได้ต่อวันมันพอเพียงหรือเคยขาดแคลนไหม?) บางวันก็ไม่ได้เลย ฝนตก ก็ต้องพากันหอบของกลับบ้าน (ถาม-แต่เด็กสองคนต้องกิน แล้วเอาที่ไหนให้เขา?) มันก็มีเหลือนิดๆ หน่อยๆ ก็ต้องให้เขากินก่อนแหละ ตายายจะกินจะอดก็รอไปก่อน”
อดถามน้องเกรซไม่ได้ว่า เรียนด้วย ไปขายของกับตายายด้วย ไม่เหนื่อยหรือ? น้องบอกว่า“ก็เหนื่อย แต่ก็ต้องสู้ เพราะวันหนึ่งเราไม่มีเงินกิน เราก็ต้องไปเซ็นเขา แต่หนูไม่อยากให้ตากับยายเซ็น ก็เลยต้องออกขายของ (ถาม-ตรงนี้ตายายบอกให้หนูไปหรือหนูไปเอง?) ไปเองค่ะ หนูช่วยตายายมาตั้งแต่หนูอยู่อนุบาล 1”
ด้านครูกนกภรณ์ ภูจอม ครูประจำชั้นของน้องเกรซ เล่าว่า“น้องเกรซถือว่าเป็นตาของคุณตาคุณยายเลย เวลาตายายจะไปไหน น้องจะเป็นคนพาไป ซึ่งรายได้จะมาจากการที่ตายายขายของเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งบางวันมันไม่เพียงพอ น้องเป็นเด็กที่น่าสงสารนะ แต่ในความน่าสงสาร เขาก็มีจิตใจที่เข้มแข็ง ช่วยเหลือตายาย และน้องไม่ย่อท้อกับความยากลำบาก”
ขณะที่คุณยาย ยอมรับว่า ในยามขัดสน ก็ต้องหยิบยืมเพื่อนบ้านก่อน พอขายของได้ ก็มาคืนเขา คุณยายยังห่วงอนาคตเรื่องเรียนของหลานๆ ด้วยว่า จะไปได้ไกลแค่ไหน“ก็กลัววันไหนเราเจ็บไข้ได้ป่วยมา เราก็แก่ตัวขึ้นทุกวันๆ เรื่องการเรียนหลานเราก็เป็นห่วงอยู่”
เช่นเดียวกับคุณตาที่ไม่อยากให้หลานลำบาก“อยากให้เขาเรียนสูงๆ เขาจะได้ไม่ลำบากเหมือนพ่อเหมือนแม่เหมือนตาเหมือนยาย”
ด้านน้องเกรซ ยืนยันว่า จะพยายามหาเงินเพื่อเรียนให้สูงที่สุด พร้อมฝัน อยากเป็นหมอเพื่อรักษาตายายให้กลับมามองเห็นอีกครั้ง
“(ถาม-ถ้าวันหนึ่งหนูโตขึ้น หนูจะทิ้งตายายไหม?) ไม่ค่ะ (ถาม-ทำไม?) เพราะเรามีอีก 2 คนที่เราต้องดูแล (ถาม-ตอนนี้หนูอายุ 8 ขวบ อีก 10 กว่าปีเลยกว่าจะเรียนจบ คิดว่าตายายจะส่งเสียเราได้ถึงไหน?) ไม่รู้ค่ะ ถ้าหนูเรียนไม่จบก็จะหาเงินเก็บเงินเอง ก็จะเรียนให้จบให้ได้(ถาม-หนูอยากทำงานหรืออยากทำอาชีพอะไร?) หนูอยากเป็นหมอ (ถาม-ทำไมถึงอยากเป็นหมอ?) ตากับยายมองไม่เห็น เราก็สามารถรักษาให้ได้ อยากให้ตายายกลับมามองเห็น”
ไม่ว่าชีวิตหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร จะมีอุปสรรคหรือยากลำบากแค่ไหน น้องเกรซพร้อมเป็นดวงตานำทางให้ตายายต่อไป และเคียงคู่สู้ไปกับตายาย ไม่มีวันทิ้งกัน
หากท่านใดต้องการช่วยเหลือน้องเกรซน้องแก้วและตายาย หรือสนับสนุนทุนการศึกษาให้น้อง โอนไปได้ที่ธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี น.ส.มยุรี ศรีวิชัย เลขที่บัญชี 225-0-41754-7
คลิกชมรายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ ตอน “หนูจะไม่ทิ้งตายาย”
https://www.youtube.com/watch?v=w12tyFwGyIM
ติดตามรับชมรายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ ได้ ทุกวันเสาร์ เวลา 09.00-09.30 น. ทางสถานีโทรทัศน์ NEWS1 (PSI ช่อง 211 ) (AIS Playbox ช่อง 655) (กล่อง IPTV ของ NT ช่อง 64)
หรือรับชมรายการย้อนหลังได้ที่เพจ ฅนจริงใจไม่ท้อ https://web.facebook.com/KonJingJaimaitor/
หรือยูทูบฅนจริงใจไม่ท้อ https://www.youtube.com/channel/UCsb4sLqdHs35km4uQ_tOCjQ/videos