ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านสัตว์น้ำ จี้ตรวจสอบ 11 บริษัทส่งออกปลาดำ หาข้อพิสูจน์ให้สังคมสิ้นสงสัยว่า ไม่เกี่ยวข้องอย่างไร? เพื่อให้เป็นบรรทัดฐาน ในการแก้ปัญหาสัตว์น้ำต่างถิ่นรุกรานระบบนิเวศต่อไปในอนาคต
สมเจตน์ สุขมงคล ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านสัตว์น้ำ ย้ำประเด็นที่สังคมตั้งคำถาม เรื่องการส่งออก “ปลาหมอคางดำ” ยังไม่ถูกไข แม้สัปดาห์ที่ผ่านมา 5 บริษัท จากบริษัทเอกชนที่สำแดงการส่งออกปลาคางดำ 11 แห่ง ประกอบด้วย 1.บริษัท ไทย เฉียน หวู่ จำกัด 2.บริษัท แอดวานซ์ อควาติก จำกัด 3.ห้างหุ้นส่วนจำกัด สมิตรา อแควเรียม 4.บริษัท พี.แอนด์.พี อควาเรียม เวิลด์ เทรดดิ้ง จำกัด และ 5.บริษัท เอเชีย อะควาติคส์ จำกัด จะเข้าชี้แจงพร้อมนำเอกสารบางส่วนมาแสดงต่อ คณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (กมธ.อว.) สภาผู้แทนราษฎร อ้างว่า เป็นข้อมูลคลาดเคลื่อน เนื่องจากชิปปิ้งกรอกชื่อปลาผิด
สอดคล้องกับกรมประมงที่ ทำเอกสารชี้แจง กมธ.อว.ว่า เคยมีการตรวจสอบการส่งออกในปี 2560 พบว่าการกรอกข้อมูลในระบบมีความผิดพลาดคลาดเคลื่อน ในการกรอกข้อมูลการส่งออก 212 ครั้ง จากการส่งออกปลาสวยงามในช่วงดังกล่าวกว่า 24,000 ครั้ง แต่กลับไม่ได้มีการตรวจสอบเพื่อยืนยันว่า ปลาที่ส่งออกเป็นปลาชนิดใดกันแน่ แม้ชื่อภาษาไทยอาจถูกเปลี่ยนหลายครั้งจาก ปลานิลในปี 2549 มาเป็นปลาหมอเทศข้างลาย ในปี 2553 ก่อนเปลี่ยนเป็น ปลาหมอคางดำ ในปี 2560 แต่การส่งออกที่ต้องระบุชื่อวิทยาศาสตร์และชื่อสามัญของปลานั้น กลับระบุเป็น ชื่อ Sarotherodon melanotheron และ Blackchin tilapia ซึ่งเป็นชื่อวิทยาศาสตร์และชื่อสามัญ ของปลาหมอคางดำทุกครั้ง
ข้อพิรุธคือ ตลอด 4 ปี (พ.ศ. 2556-2559) ชิปปิ้งยังคงกรอกผิดทุกครั้ง ทุกรอบการส่งออก ครบทุกบริษัทที่ส่งออก โดยไม่เคยได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องสักครั้ง และข้อมูลยังถูกนำเผยแพร่บนเว็ปไซต์ของกรมประมง จึงเกิดคำถามว่า ปล่อยให้ผิดพลาดเช่นนี้ได้อย่างไร การส่งออกในลักษณะปลาสวยงามมีชีวิต 326,240 ตัว เฉลี่ยปีละประมาณ 80,000 ตัว ส่งออกไปยัง 17 ประเทศ ปริมาณปลาจำนวนนี้ไม่ใช่น้อยๆ หน่วยงานที่รับผิดชอบเคยตั้งข้อสงสัยหรือไม่ ว่า เอาปลามาจากที่ไหน? เพาะเลี้ยงที่ใด? มีระบบการดูแลจัดการป้องกันไม่ให้ปลาหลุดออกสู่แหล่งน้ำสาธารณะหรือไม่? และปล่อยให้ส่งออกไปได้อย่างไร?
ที่สำคัญเมื่อเลิกส่งออกแล้ว จัดการทำลายปลาเหล่านี้อย่างถูกต้องหรือไม่? รวมถึง พรก.ประมง ปี 2558 ที่ระบุว่า ต้องแจ้งแหล่งที่มาของปลาส่งออก ก็เกิดคำถามว่า บริษัทได้แจ้งหน่วยงานที่รับผิดชอบหรือไม่? ถ้าไม่ได้แจ้งแล้วส่งออกไปได้อย่างไร?
ทั้งหมดนี้กลายเป็นประเด็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่งว่า เหตุใด จึงไม่มีการตรวจสอบการลักลอบนำเข้าปลาต่างถิ่นมาเพาะเลี้ยงเป็นปลาสวยงามส่งออกเลย ทั้งๆ ที่มีโอกาสเป็นสาเหตุของปัญหาปลาหมอคางดำเช่นกัน เพราะหากเชื่อว่า มีการกรอกชื่อผิดเพื่อส่งออก ก็มีโอกาสหลบเลี่ยงนำเข้าโดยชื่ออื่นด้วยก็ได้ ซึ่งการลักลอบนำเข้าปลาต่างถิ่น ถือเป็นปัญหาที่มีอยู่ และยังไม่ได้รับการแก้ไข
ยืนยันได้จากรายงานการพบ ปลาหมอบัตเตอร์ ในอ่างเก็บน้ำ เขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ และเขื่อนวชิราลงกรณ์ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งปลาชนิดนี้เป็นหนึ่งในพันธุ์ปลาที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำหนดเป็น สัตว์นำห้ามนำเข้า ส่งออก หรือ เพาะเลี้ยง มาตั้งแต่ปี2561 นี่คือตัวอย่างของปลาต่างถิ่นห้ามเพาะเลี้ยง ที่ไม่มีรายงานการนำเข้า แต่กำลังสร้างปัญหารุกรานระบบนิเวศเช่นกัน
แม้ทั้ง 11 บริษัท ยืนกระต่ายขาเดียวปฏิเสธว่า ไม่มีการส่งออกปลาหมอคางดำ แต่ก็จำเป็นต้องหาข้อพิสูจน์ให้สังคมสิ้นสงสัยว่า ไม่เกี่ยวข้องอย่างไร นำปลาที่ส่งออกเหล่านั้นมาจากที่ใด รวมถึงขอความร่วมมือจากประเทศปลายทาง เพื่อยืนยันว่า ปลาที่ได้รับเป็นชนิดใด ใช้ปลาหมอคางดำหรือไม่ แหล่งที่มาหรือสถานที่เพาะเลี้ยงปลาเพื่อการส่งออกเป็นอย่างไร ไม่ใช่แค่ตัวแทน 5 บริษัท เข้าพบคณะกรรมธิการแล้วแจ้งว่า กรอกชื่อผิด เพียงเท่านี้ก็เชื่อคำชี้แจง โดยไร้การพิสูจน์ใดๆ ต่างจากบริษัทเอกชนที่ขออนุญาตนำเข้าอย่างถูกต้อง ที่ต้องได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดในทุกประเด็น
ในขณะที่กรมประมง ไม่พยายามตรวจสอบผู้ส่งออกทั้ง 11 บริษัทเลย ทั้งที่เต็มไปด้วยข้อสงสัยที่ยังไม่กระจ่าง ซึ่งการปล่อยให้เป็นเช่นนี้ แล้วพุ่งประเด็นหาต้นตอไปที่บริษัทเอกชนเป็นหลัก ก็อาจอนุมานได้ว่า เป็นการปกปิดจุดบกพร่องในกระบวนการทำงาน ทั้งการป้องกันการลักลอบนำเข้าสัตว์น้ำต่างถิ่นมาเลี้ยงหรือค้าขาย โดยเฉพาะในตลาดปลาสวยงาม ที่อาจจับมือใครดมได้ยาก
รวมถึงข้อบกพร่องในแง่ของการไม่ปฏิบัติตาม พรก.ประมง2558เพราะหากบริษัทไม่ได้แจ้งที่มาของสัตว์น้ำ กรมประมงก็ไม่ควรอนุญาตให้ส่งออก หรือการกรอกข้อมูลผิดตลอด 4 ปี ที่แสดงว่า เอกสารขออนุญาตส่งออก กับเอกสารกำกับสินค้าไม่ตรงกัน ถือเป็นการทำเอกสารไม่ถูกต้อง และมีความผิดด้วย ดังนั้นเรื่องการส่งออกปลานี้ ต้องนำมาศึกษาและหาหลักฐานเพื่อยืนยันร่วมด้วยเช่นกัน
ข้อสงสัยเหล่านี้จะหมดไปก็ต่อเมื่อ ผู้ส่งออกปลาหมอคางดำเป็นปลาสวยงามทั้ง 11 บริษัท ได้รับการตรวจพิสูจน์แล้วเท่านั้น เพื่อให้กลายเป็นบรรทัดฐานในการแก้ปัญหาสัตว์น้ำต่างถิ่นรุกรานระบบนิเวศต่อไปในอนาคต