รายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม 2565 พาคุณผู้ชมไปรู้จัก “พี่เมี่ยง” ซึ่งไม่เพียงมีลูกเป็นเด็กพิเศษ แต่ยังเป็นคุณแม่ของเด็กพิเศษอีกหลายครอบครัวด้วย ในฐานะนายกสมาคมนวัตกรรมเพื่อคนพิการทางสติปัญญา ช่วยอบรมทักษะให้เด็กพิเศษมีงานและรายได้
“พี่เมี่ยง” พัชรา มั่งศิลป์ เป็นคุณแม่คนหนึ่งที่มีลูกสาวบกพร่องทางสติปัญญา หรือที่มักเรียกกันว่า เด็กพิเศษ เธอเล่าให้ฟังว่า ตอนแรกลูกเกิดมาก็ดูปกติดี แต่พอเริ่มเข้าอนุบาล น้องค่อนข้างเรียนหนังสือช้า และเขียนตัวหนังสือกลับหลัง เพื่อนจึงแนะนำให้พี่เมี่ยงพาลูกไปตรวจที่สถาบันราชานุกูล (โรงพยาบาลที่บำบัดรักษาผู้บกพร่องทางสติปัญญาแบบครบวงจร) แต่พี่เมี่ยงรู้สึกรับไม่ได้ เพราะไม่คิดว่าลูกตนเองผิดปกติ
“เราก็ไม่รู้จักว่าราชานุกูลคืออะไร รู้แต่ว่า รพ.คนปัญญาอ่อน โกรธเขามากเลย บอก ลูกฉันปัญญาอ่อนตรงไหน เธอจะบ้าเหรอ อ้าว เธอไม่เชื่อ เธอต้องลองไปเทสต์ดูนะ ไม่ เราไม่สนใจ แล้วเราก็ปล่อยเลยมา ให้ลูกเรียนโรงเรียนปกติตลอด และคุยกับครูว่า ตัวเองไม่ได้คาดหวังให้ลูกเรียนได้ที่ 1 เอาแค่ลูกมีสังคมผ่าน ฉันก็พอใจแล้ว”
แม้จะไม่อยากยอมรับว่าลูกบกพร่องทางสติปัญญา แต่เมื่อ “ชมพู่” ลูกสาว มีพฤติกรรมที่ผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆ จนส่งผลต่อการเรียน ในที่สุด แม่ต้องยอมรับความจริง
“ลูกไม่คุยกับเพื่อน ไม่มีเพื่อน เก็บตัวเลย เงียบๆ เลย ไม่สนใจใครเลย แล้วก็เรียนหนังสือไม่ได้ และบางครั้งก็ฉี่ราดเฉยเลย ควบคุมปัสสาวะไม่ได้ และร้องไห้ ไม่อยากไปโรงเรียน จะไปโรงเรียนที ต้องเข็นกันน่าดูเลย ตอนนั้นเขา ป.6 ก็มีปัญหาเรื่องของเด็กๆ แกล้งกันเองส่วนหนึ่ง ครูบอกว่า หาที่ใหม่ไหม บอกไม่ ก็ขึ้น ม.1 ปรากฏว่า เพื่อนไม่เข้าใจกัน ก็มีการแกล้งโดยที่ให้จดหมายรัก เริ่มมีความรักมั้ง ปรากฏคนนี้ไม่รักอะไรไม่รู้เขา พอขึ้นไปอยู่ชั้น 5 เขาจะโดดตึก วันนั้นครูโทรมา คุณแม่เข้ามาเดี๋ยวนี้เลยนะ บอกมีอะไรคะ ลูกคุณแม่ไม่ไหวแล้วค่ะ จะโดดตึก นี่ดีนะว่าฉุดทัน ถ้าฉุดไม่ทัน ลงมาแล้ว หัวใจสลาย รีบวิ่งเลย ไปที่โรงเรียนเลย สิ่งที่ครูบอกเราคือ แม่ ขอพูดคำเดียวนะ แม่พาลูกไปเรียนที่อื่น”
หลังยอมรับความพิการของลูกได้ พี่เมี่ยงตัดสินใจพาลูกไปพบจิตแพทย์เพื่อรักษา กระทั่งอาการและพฤติกรรมต่างๆ ของลูกดีขึ้นเป็นลำดับ และลูกสามารถเรียนต่อได้จนถึงระดับ ปวช.
เมื่อเรียนจบ ปวช.แล้ว แม่ได้พาลูกไปเข้ารับการอบรมที่ศูนย์นวัตกรรมคนพิการทางสติปัญญา เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การมีงานทำ ซึ่งแม่ ในฐานะผู้ปกครอง ต้องเข้าไปสังเกตการณ์การอบรมของลูกด้วยตามเงื่อนไขของทางสมาคมฯ
“ทางสมาคมฯ เห็นผู้ปกครองกลุ่มนี้โอเคนะ น่าจะตั้งเป็นชมรมขึ้นมา แกเลยตั้งชมรมให้เรา ตอนนั้น อาจารย์เขาจะมีฝึกพับผ้า และฝึกทำดอกไม้ ฝึกปั้นสัตว์ วาดรูป ส่วนผู้ปกครองแกก็จะมีจัดคอร์สพิเศษ สอนทำน้ำเต้าหู้ ถามใครจะลงสมัครบ้าง เราก็ลงสมัครเรียนไป”
การได้ร่วมฝึกอบรมกับลูก ทำให้พี่เมี่ยงเห็นช่องที่จะพัฒนาลูกต่อ รวมทั้งช่วยให้ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานเป็นเด็กพิการเด็กพิเศษ ได้มีช่องทางฝึกอบรม ทำงาน เพื่อนำไปสู่การมีรายได้และพึ่งพาตัวเองได้ เธอจึงทำโครงการเตรียมความพร้อมสู่การมีงานทำของเด็กพิการเด็กพิเศษ และเสนอโครงการต่อหน่วยงานธุรกิจ ซึ่งได้รับการตอบรับและได้งบมา 10 ล้านบาท กระทั่งนำไปสู่การตั้งสมาคมนวัตกรรมเพื่อคนพิการทางสติปัญญา ซึ่งเธอได้เป็นนายกสมาคมฯ
“ที่สมาคมฯ มีศูนย์คอมพิวเตอร์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากศูนย์ดิจิทัลชุมชน (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) เราต้องพยายามแปลงการสอนที่น่าเบื่อหน่ายเป็นเรื่องที่สนุก เราก็ฝึกการใช้เมาส์ คลิกให้เป็น ก๊อปปี้เป็น ใช้คำสั่งเป็น และเรียนไมโครซอฟท์เวิร์ด ให้เขาพิมพ์เอกสารง่ายๆ เพราะเราต้องเตรียมความพร้อมในการทำงาน เกิดไปถึงบริษัทแล้ว มีการใช้คอมฯ บ้าง เขาจะได้มีความรู้บ้าง”
“นอกจากเรื่องคอมฯ แล้ว เราจะเอาเด็กมาฝึกงานสกรีน และงานเย็บจักร และยังมีอย่างอื่นอีก งานสกรีน อย่างลายที่เด็กวาดมา เราพยายามให้เขารู้ว่า ที่เขาวาดเอง สามารถเอามาทำเป็นผลิตภัณฑ์ได้”
ด้าน “บรรพต เชยจุ้ย” หนึ่งในผู้ปกครองของเด็กพิเศษ ดีใจมากที่ได้พาลูกมาอบรมที่สมาคมนวัตกรรมเพื่อคนพิการทางสติปัญญา
“อยู่ที่นี่ก็ 7-8 ปีแล้ว จนกระทั่งลูกเราพัฒนาขึ้นมา เพื่อทำงานให้กับทางบริษัท ซึ่งทางสมาคมฯ จัดหางานให้ ก็เป็นอะไรที่เราดีใจ เพราะอย่างลูกเรา หางานทำไม่ได้ ก็ได้ทางคุณเมี่ยงจัดหาบริษัทเพื่อให้น้องๆ ได้มีงานทำ”
“ตื้นตันมาก ผมว่าผมเจอเขาช้าไป ถ้าผมเจอเขาเร็วกว่านี้ ครอบครัวผมดีกว่านี้อีกเยอะ (ถาม-เราอยู่ที่นี่ เรามีรายได้ไหม?) คุณเมี่ยงจะคิดอัตราเงินเดือนให้ผม และลูกเราก็ได้เงินเดือนจากบริษัทที่คุณเมี่ยงจัดหาให้ จะได้รายได้ 2 ทาง เรามีรายได้ 2 ทาง ทั้งทางของลูก และของเราที่ได้จากคุณเมี่ยงอีกทางหนึ่ง ซึ่งทำให้ครอบครัวเราดีขึ้น”
สมาคมนวัตกรรมเพื่อคนพิการทางสติปัญญา ก่อตั้งมา 11 ปีแล้ว ปัจจุบันมีสมาชิกที่อยู่ในความดูแลเกือบร้อยชีวิต สมาคมแห่งนี้ได้ช่วยฝึกอบรมวิชาชีพให้เด็กพิการหรือเด็กพิเศษได้มีความพร้อมในการทำงาน และช่วยให้เด็กได้มีงานทำตามมาตรา 35 ของ พ.ร.บ.ส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 ที่กำหนดให้สถานประกอบการหรือหน่วยงานของรัฐ ต้องรับคนพิการเข้าทำงานหรือจ้างงานหรือให้ความช่วยเหลือผู้พิการและผู้ดูแลคนพิการได้มีอาชีพ ได้ใช้ศักยภาพของตนเองในการหารายได้เพื่อพึ่งพาตนเองได้
ในฐานะนายกสมาคมนวัตกรรมเพื่อคนพิการทางสติปัญญา พี่เมี่ยงยอมรับว่า แม้จะทำงานเพื่อเด็กพิการเด็กพิเศษมาเป็นสิบปี แต่ก็ยังไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้
“เรายังไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้ ใจจริงที่อยากเห็นคือ อยากเห็นเด็กๆ เขาได้ไปทำงานที่บริษัท แล้วบริษัทยอมรับ แต่อุปสรรคอีกอันหนึ่งคือ เรื่องเงินเดือน ถ้าเงินเดือนน้อย เด็กๆ ก็อยู่ไม่ได้อีก เรามองว่า กฎหมายมาตรา 35 มันดี แต่จะทำยังไงให้มันยั่งยืน คำว่ายั่งยืนคืออะไร บางที่เด็กทำงานแล้ว ครอบครัวนี้ได้แล้ว เปลี่ยนครอบครัว คือคุณเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ความยั่งยืนมันอยู่ตรงไหน ถ้าคุณจะให้เขายั่งยืน นั่นคือ เขาต้องเดินด้วยตนเอง มันถึงจะยั่งยืน กฎหมายถึงจะศักดิ์สิทธิ์”
เมื่อสมาคมนวัตกรรมเพื่อคนพิการทางสติปัญญา อยู่ได้ด้วยทุนอุดหนุนจากหน่วยงานต่างๆ ทำให้พี่เมี่ยงอดหวั่นใจไม่ได้ว่า ถ้าปีใดไร้เงินอุดหนุน สมาคมจะอยู่ต่อไหวหรือไม่ ทำให้หลายครั้งที่เธออดรู้สึกท้อแท้ไม่ได้
“เมื่อวานเพิ่งจะท้อเอง เสร็จแล้ว กลางคืนได้คุยกับหลาน สักวันหนึ่ง ถ้าเราไม่มีเงินทุน แล้วเราจะเดินไปยังไง จะเดินยังไงต่อ หรือเขาจะต่อเราไหมปีหน้า มันจะเป็นอย่างนี้ทุกปี พอถึงช่วงนี้มันจะกังวลแล้ว ก็มานั่งสังเกตว่า เป็นทุกปีนะ เดี๋ยวมันก็ฮึดขึ้นมาใหม่ เช้านี้เพิ่งเกิดอารมณ์ฮึดขึ้นมา มันจะเป็นอย่างนี้ เมื่อคืนก็ให้กำลังใจตัวเอง และพยายามไม่กังวล พยายามบอกว่า ทำวันนี้ให้ดีที่สุดสิ ในเมื่อวันนี้มันมีโอกาส คุณก็ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ถ้าวันนี้มันดี วันหน้ามันต้องดี ถ้าวันนี้ทุกอย่างเราทำแล้วมันดี มันต้องดี”
แม้จะท้อบ้าง แต่วันนี้พี่เมี่ยงยังสู้ โดยมีลูกและครอบครัวเด็กพิเศษเป็นแรงใจให้เธอยังมีแรงขับเคลื่อนสมาคมฯ ให้บรรลุเป้าหมายต่อไป
“ลูกเรา และลูกเพื่อนๆ ที่เราเห็น และเพื่อนๆ บางคนนั่งร้องไห้ ไม่มีเงินใช้ บางคนโทรมา บ้านน้ำรั่ว เอาเงินที่ไหน ทำยังไง บางคนก็ วันก่อนสามีเดินไม่ได้ โทรมา แล้วถ้าเราฮึดอีกสักพักหนึ่ง คำว่า รวยไปด้วยกัน มันต้องเกิด ทุกคนต้องไม่ลำบากแบบนี้ ฉันไม่อยากให้ทุกคนลำบาก ความรู้สึกของเราคือ เราไม่อยากให้เพื่อนๆ หรือทุกคนที่เข้ามาที่นี่ ต้องประสบกับความลำบาก เราอยากให้ทุกคนยิ้ม และมีความสุข แต่เราจะทำยังไง บางครั้งก็ท้อ แต่ก็สู้นะ”
หากท่านใดต้องการสนุนสินค้าของเด็กพิเศษ ติดต่อไปได้ที่ 083-779-2583 หรือบริจาคเงินช่วยเหลือสมาคมฯ สามารถโอนไปได้ที่ ธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี สมาคมนวัตกรรมเพื่อคนพิการทางสติปัญญา เลขบัญชี 039-0-424-749
คลิกชมรายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ ตอน “คุณแม่ของเด็กพิเศษ”
https://www.youtube.com/watch?v=ZMLN5hlX964
ติดตามรับชมรายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ ได้ ทุกวันเสาร์ เวลา 09.00-09.30 น. ทางสถานีโทรทัศน์ NEWS1 ( IPM ช่อง 64 / PSI ช่อง 211 )
หรือรับชมรายการย้อนหลังได้ที่เพจ ฅนจริงใจไม่ท้อ https://web.facebook.com/KonJingJaimaitor/
หรือยูทูบฅนจริงใจไม่ท้อ https://www.youtube.com/channel/UCsb4sLqdHs35km4uQ_tOCjQ/videos