สหพันธ์รถเมล์ กรุงเทพฯและปริมณฑล ขอปรับค่าโดยสารรถเมล์และรถสองแถว ตามต้นทุนดีเซล ด้าน บขส. ตรึงค่าโดยสาร 3 เดือนทุกเส้นทาง ช่วยลดค่าครองชีพประชาชน
นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง หรือ บขส. กล่าวว่า หลังจาก คณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง มีมติให้ปรับเพิ่มอัตราค่าโดยสารรถประจำทาง หมวด 2 เส้นทางที่มีต้นทางจากกรุงเทพมหานครไปยังต่างจังหวัด และหมวด 3 เส้นทางระหว่างจังหวัดที่ไม่มีกรุงเทพฯเป็นต้นทางปลายทาง กิโลเมตรละ 5 สตางค์ มีผลวันที่ 4 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป
ในส่วน บขส. ยังตรึงค่าโดยสารอัตราเดิม เป็นเวลา 3 เดือน เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพ และเป็นทางเลือกในการเดินทางให้ประชาชน โดยปัจจุบัน บขส. เปิดให้บริการเดินรถ ในเส้นทางภาคเหนือ 15 เส้นทาง รวม 40 เที่ยววิ่ง ไป-กลับ ,เส้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก 18 เส้นทาง รวม 52 เที่ยววิ่ง และเส้นทางภาคใต้ 13 เส้นทาง รวม 35 เที่ยววิ่ง
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. ยอมรับว่า ราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ บขส. มีค่าใช้จ่ายต้นทุนน้ำมันเพิ่มขึ้น 3-5 % หรือ เดือนละ 6-8 ล้านบาท จากเดิมที่ บขส.มีต้นทุนน้ำมันเฉลี่ย 24-25 ล้านบาทต่อเดือน โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 บขส.มีต้นทุนค่าใช้จ่ายน้ำมันเกือบ 200 ล้านบาท แต่จะแบกภาระนี้ไว้ก่อน เพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน และย้ำด้วยว่า บขส.ยังให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัย มีการป้องกันเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด ทั้งภายในสถานีขนส่ง และบนรถโดยสาร
ด้านนายบรรยง อัมพรตระกูล ประธานสหพันธ์รถเมล์ กรุงเทพฯและปริมณฑล กล่าวว่า ได้ยื่นหนังสือถึงกระทรวงคมนาคม ขอให้พิจารณาปรับค่าโดยสาร รถเมล์และรถสองแถว หมวด 4 หรือ รถโดยสารที่วิ่งประจำอยู่ในเส้นทาง ที่มีจุดต้นทางและปลายทางอยู่ระหว่างอำเภอกับจังหวัด หรือระหว่างอำเภอ โดยขอขึ้นค่าโดยสารสองแถว จาก 8 บาท เป็น 10 บาท ส่วนรถเมล์ขอขึ้นค่าโดยสาร จาก 10 บาท เป็น 12 บาท ตามต้นทุนพลังงาน โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ เดิม 8.50 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มเป็น 15.50 บาท ทำให้รายได้ไม่พอรายจ่าย ส่งผลให้ผู้ประกอบการรถหมวด 4 ต้องหยุดวิ่งรถแล้ว หลายราย หากภาครัฐ ไม่พิจารณาเพิ่มค่าโดยสารให้ตามคำขอ ภายในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ จะกำหนดท่าทีเคลื่อนไหวกดดันต่อไป