หอการค้าไทย , ททท. ,ผู้ประกอบการท่องเที่ยวภาคเหนือ เชื่อหากกลับมาใช้ test & go จะดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทย ช่วงไฮซีซั่น ดันยอดทั้งปีได้ 5-6 ล้านคน ช่วยฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวและบริการ
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ,นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยผู้ประกอบการ สมาคม และเครือข่ายธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคเหนือ รับฟังข้อเสนอแนะแนวทางฟื้นฟูภาคท่องเที่ยว หลังจากได้รับผลกระทบรุนแรงจากการระบาดของโควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอน โดยที่ประชุม พิจารณาข้อมูลทางสาธารณสุขปัจจุบัน พบว่า สถานการณ์โอมิครอน อยู่ในระดับที่ไม่รุนแรงเท่าปีที่แล้ว ซึ่งทุกภาคส่วน ต้องปรับตัวอยู่ร่วมกับการระบาดให้ได้ เพื่อเดินหน้ากิจกรรมทางเศรษฐกิจ ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้
สำหรับข้อเสนอหลัก จากการระดมความเห็นครั้งนี้ คือ ควรเร่งนำมาตรการ test &go กลับมาใช้ และปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์แพร่ระบาดในปัจจุบัน เพราะช่วงนี้เป็นช่วง ไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว หากตัดสินใจช้า จะเสียโอกาสให้ประเทศอื่น ดึงนักเดินทางไป โดยหอการค้าไทย คาดว่า หากนำระบบ test &go มาใช้ได้ นักท่องเที่ยวในปีนี้ น่าจะสูงถึง 5-6 ล้านคน
ด้าน ผู้ว่าการ ททท. ชี้แจงแผนการตลาดด้านการท่องเที่ยว ทั้งระยะสั้นและระยะยาว หลังการเปิดประเทศ โดยให้ความเห็นว่ าการประชุม ศบค. ชุดใหญ่ วันนี้ (20 ม.ค.) มีแนวโน้มที่ดีที่จะพิจารณาปรับมาตรการระดับสีของจังหวัดต่างๆ และพิจารณานำ test & go กลับมาใช้อีกครั้ง ตามข้อเสนอของผู้ประกอบการ
ที่ผ่านประเทศ ไทยพึ่ งพารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก โดยในปี 2562 มีรายได้รวม 3 ล้านล้านบาท ,ปี 2563 รายได้ลดลงเหลือ 8 แสนล้านบาท และปี 2564 รายได้จากภาคการท่องเที่ยว คาดว่า จะไม่เกิน 4 แสนล้านบาท เห็นได้ชัดว่า ต้องเร่งยกเครื่องการท่องเที่ยวของไทยในรูปแบบใหม่ โดยในอนาคต ต้องเน้นการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ (CUSTOMER CENTRIC ) นำเทคโนโลยีเข้ามาเสริม เน้นสร้างประสบการณ์ใหม่ให้นักท่องเที่ยว เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวไทย ไปสู่การสร้างคุณค่าให้เหนือกว่า ราคา (Value over Volume)
ด้านนายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการอาวุโสหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นำเสนอรูปแบบการสร้างการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ด้วย Happy Model เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวให้ดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพเข้ามาประเทศไทย ซึ่งเสริมเข้ากับ แอพลิเคชัน tagthai ที่ถือเป็น open platform เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวในอนาคต ซึ่งทาง ททท. และผู้ประกอบการในพื้นที่ต่างเห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว ซึ่งจะช่วยให้ค่าเฉลี่ยการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่มาประเทศไทยเพิ่มขึ้นได้
ที่ประชุม ยังหารือประเด็นการกำกับดูแลธุรกิจท่องเที่ยวของชาวต่างด้าวในพื้นที่ ที่มีการดำเนินธุรกิจในลักษณะผิดกฎหมาย ทั้งในประเด็น ไกด์นำเที่ยว และ Platform ท่องเที่ยวที่ไม่ได้เสียภาษีอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้หอการค้าไทย และ ททท. ช่วยกันผลักดัน เรื่อง การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการรายย่อยในธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับว่ากฎเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อค่อนข้างเข้มงวด ทำให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก ซึ่งเป็นประเด็นเร่งด่วนที่จะต้องแก้ไขเพื่อช่วยให้ภาคการท่องเที่ยวให้กลับมาประคองกิจการต่ออีกครั้ง
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการท่องเที่ยวใน จ.เชียงใหม่ นำเสนอความพร้อมและแนวทางด้านสาธารณสุขของจังหวัด โดยเสนอยกระดับพื้นที่สีฟ้าทุกอำเภอ เพื่อให้สามารถรองรับนักเดินทางต่างประเทศที่จะเข้ามาท่องเที่ยว ซึ่งจากเดิมมีการประกาศพื้นที่สีฟ้าเพียง 5 อำเภอในจังหวัดเท่านั้น แม้จะมีการระบาดในพื้นที่อยู่บ้าง แต่จากข้อมูลพบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อและเตียงผู้ป่วย ยังอยู่ในระดับที่สามารถรองรับได้
หอการค้าไทย มองว่า การฟื้นฟูประเทศในปีนี้ จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับทุกมิติของประเทศ เพราะแต่ละด้านได้รับผลกระทบไม่เท่ากัน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ที่เคยสร้างรายได้ให้ประเทศ 15-20% ของ GDP ดังนั้น หอการค้าไทยจึงเดินหน้าเน้นรับฟังเสียงผู้ประกอบการเพื่อฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวควบคู่กับการค้า โดยใช้แนว Trade & Travel โดยจะได้สะท้อนความต้องการของผู้ประกอบการ แล้วหารือแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการ