xs
xsm
sm
md
lg

กกร.คงจีดีพีปี64โต0.5-1.5% จับตา“โอมิครอน”ปัจจัยเสี่ยงปี65

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กกร.คงเป้าจีดีพีปีนี้ 0.5 ถึง 1.5% ก่อนจะโตเพิ่มเป็น 3 ถึง 4.5% ปี 2565 จับตา “โอมิครอน” ความเสี่ยงใหม่ต่อเศรษฐกิจโลกในช่วงต้นปีหน้า

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนธันวาคม 2564 โดยมีนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นประธาน กกร. และมีนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานร่วมในการประชุม

ที่ประชุม กกร. คงประมาณการเศรษฐกิจปี 2564 จะขยายตัวในกรอบ 0.5% ถึง 1.5% ส่วนปี 2565 คาดการณ์ว่า จะขยายตัวในกรอบ 3.0% ถึง 4.5% สอดคล้องกับเศรษฐกิจโลก และประมาณการการส่งออกในปี 2565 จะขยายตัวในกรอบ 3.0% ถึง 5.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะขยายตัว 1.2% ถึง 2.0% ตามแนวโน้มของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และปีหน้าสิ่งที่ต้องจับตามองอีกเรื่องคือปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองเรื่อง Geopolitics ของหลายประเทศ

นายสนั่น กล่าวว่า กกร. พิจารณาภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ทั้งภาคการส่งออกและภาคบริการฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง แต่การแพร่ะบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ “โอมิครอน” อาจทำให้การฟื้นตัวต่อจากนี้ไป ได้รับผลกระทบและต้องล่าช้าออกไป โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่เพิ่งเริ่มรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังเปิดประเทศเมื่อ 1 พฤศจิกายน ดังนั้น “โอมิครอน” จึงกลายเป็นความเสี่ยงใหม่ ต่อเศรษฐกิจโลกในช่วงต้นปี 2565 นอกเหนือจากความท้าทายที่มีอยู่เดิม โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงและความรวดเร็วของการแพร่ระบาด ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

ภาคเอกชน มองว่า เศรษฐกิจไทย มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นในปี 2565 แม้จะยังมีการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน แต่ปัจจุบันไทย มีอัตราการฉีดวัคซีนให้ประชาชนในระดับสูงและเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงมาตรการด้านสาธารณสุข ,การเข้า-ออก ประเทศที่เข้มงวด ซึ่งภาคเอกชนเห็นว่าไม่ควรตื่นตระหนกจนเกินไป ทุกภาคส่วนควรปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดการระบาดในระลอกใหม่ซ้ำเติม เพราะที่ผ่านมา เห็นได้ชัดจากบทเรียนของการล็อกดาวน์ว่า มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมสูงมาก ทั้งผลกระทบโดยตรงจากการหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และทางอ้อมจากการบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนและผู้ประกอบการ

สำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 2565 จำเป็นต้องมีนโยบายสำหรับทั้งระยะสั้นและระยะยาว ในระยะสั้นที่การฟื้นตัวล่าช้าออกไปภาคธุรกิจยังคงฟื้นตัวไม่พร้อมเพรียงกัน (K-shaped recovery) มาตรการพยุงเศรษฐกิจและกำลังซื้อของครัวเรือน รวมถึงการผ่อนคลายนโยบายการเงินที่มีความต่อเนื่องยังคงมีความจำเป็น นอกจากนี้ สำหรับปัญหาการขาดแคลนแรงงานต่างด้าวควรแก้ไขโดย เร่งขึ้นทะเบียน และมี การจัดสรรวัคซีนให้ เพราะในขณะนี้ประเทศไทยเริ่มมีปริมาณวัคซีนที่เพียงพอมากขึ้น โดยในระหว่างนี้ต้องช่วยกันรณรงค์ให้คนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนรีบมาฉีดวัคซีน เพราะอัตราผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 ส่วนใหญ่มาจากคนที่ไม่ได้รับวัคซีน


นอกจากนี้ กกร. เห็นชอบในการสนับสนุนการจัดตั้งกองทุนมูลนิธิพัฒนาอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการระดมเงินบริจาคจากภาคเอกชนเพื่อสนับสนุน SME ในการสร้าง Innovation ใหม่ๆ โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมได้สนับสนุนงบประมาณจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ร่วมกับภาคเอกชน ในการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวเป็นระยะเวลา 3 ปี (2565 - 2567) เป็นเงิน 2,000 ล้านบาท โดยภาคเอกชนเสนอภาครัฐให้สามารถหักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้

กกร. หารือประเด็นสำคัญเพิ่มเติม เรื่อง การเร่งปฏิรูปกฎหมาย (กีโยติน) เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการ ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวให้สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้อย่างเข้มแข็ง โดย กกร.ร่วมกับ คณะกรรมการกิโยติน และ คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย โดยคณะกรรมการกฤษฎีกา ผลักดันกฎหมายสำคัญ ๆ ซึ่งทาง กกร จะมีการแถลงความคืบหน้าของการทำงานร่วมกันอีกครั้ง

กกร.ยังพิจารณาร่างประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เกี่ยวกับเรื่องเช่าซื้อรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ที่ได้มีการปรับปรุงล่าสุด (ฉบับที่ 2) ยังมีความกังวลในด้านการกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยรถยนต์ใช้แล้วและรถจักรยานยนต์ รวมถึงเงื่อนไขการคืนรถ จบหนี้ ซึ่งยังส่งผลกระทบวงกว้างเป็นลูกโซ่ต่ออุตสาหกรรมต้นน้ำ และภาคบริการ ตลอดจนการจ้างงาน จึงขอเสนอให้ สคบ.พิจารณาให้เป็นไปตามข้อเสนอของ กกร. ตามหนังสือลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564


กำลังโหลดความคิดเห็น