xs
xsm
sm
md
lg

พณ.หนุนผู้ประกอบการไม้ดอกไม้ประดับ เจาะตลาดคู่ค้าด้วยFTA

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ สัมมนาออนไลน์ เสริมแกร่งผู้ประกอบการ นักปรับปรุงพันธุ์ และเกษตรกร ในอุตสาหกรรมไม้ดอกไม้ประดับ เน้นปรับกลยุทธ์ช่วงโควิด สร้างเครือข่ายผู้ผลิตไม้ดอกไม้ประดับ ใช้นวัตกรรมปรับรูปแบบสินค้าให้โดดเด่นตอบโจทย์ผู้บริโภค แนะใช้ประโยชน์จาก FTA กระจายสินค้าสู่ตลาดโลก

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยผลการจัดสัมมนาออนไลน์“โอกาสธุรกิจไม้ดอกไม้ประดับไทยในตลาดโลก ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี” เมื่อปลายเดือน ก.ค.64 ว่า การจัดสัมมนาครั้งนี้ เพื่อให้เกษตรกร ผู้ประกอบการ และนักปรับปรุงพันธุ์ ในอุตสาหกรรมไม้ดอกไม้ประดับของไทยทราบถึงสถานการณ์การค้าสินค้าไม้ดอกไม้ประดับในตลาดโลก การนำนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์มาปรับใช้ และการพัฒนาสินค้าให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) สร้างแต้มต่อทางการค้าในตลาดคู่ค้าสำคัญของไทย

จากการสัมมนาฯ พบว่า สินค้าไม้ดอกไม้ประดับถือเป็นหนึ่งในสินค้าเกษตรที่มีความสำคัญ สามารถทำรายได้เข้าประเทศได้มาก และยังมีโอกาสที่จะขยายตลาดได้เพิ่มมากขึ้น สำหรับในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ผู้ประกอบการอาจต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เช่น การหาตลาดใหม่ สร้างเครือข่ายผู้ผลิต ผู้ขายและผู้นำเข้าในต่างประเทศ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ การใช้นวัตกรรมปรับเปลี่ยนรูปแบบสินค้าให้โดดเด่น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีอายุยืนยาว ติดตามแนวโน้มของตลาดสินค้าไม้ดอกไม้ประดับ และวางแผนรองรับการเปลี่ยนแปลงหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย


ด้าน ดร.จักรกฤษณ์ ดวงพัสตรา รองศาสตราจารย์ (พิเศษ) คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลว่า ไทยส่งออกกล้วยไม้สัดส่วนถึง 98 % ส่วนที่เหลือเป็นไม้ดอกชนิดอื่นๆ เช่น ปทุมมา สับปะรดสี และบัว 

ตลาดไม้ดอกไม้ประดับที่น่าสนใจของไทย คือเนเธอร์แลนด์ ประเทศศูนย์กลางการค้า การผลิตไม้ดอกที่สำคัญของโลก ,อิตาลี ประเทศที่มีการบริโภค การนำเข้าไม้ดอกมากที่สุดในโลก ,สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดนำเข้าไม้ดอกฯ ที่สำคัญที่สุดของไทยและโลก  ,ญี่ปุ่น ตลาดนำเข้าไม้ดอกที่สำคัญที่สุดในเอเชียตะวันออก และเวียดนาม เป็นประเทศผู้ส่งออกและผู้นำเข้าไม้ดอกฯที่สำคัญในอาเซียน จึงเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการจะขยายส่งออกสินค้าไม้ดอกไม้ประดับไปตลาดที่มีศักยภาพ พร้อมใช้สิทธิประโยชน์จากFTAเจาะตลาดประเทศคู่ค้าเพิ่มขึ้น

นายป่าน ปานขาว ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและคุ้มครองพันธุ์พืช กรมวิชาการเกษตร ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับการคุ้มครองพันธุ์พืชของไทย ซึ่งดูแลโดย พ.ร.บ. คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 เพื่อส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจให้มีการคุ้มครองพันธุ์พืช อนุรักษ์พันธุ์พืชและใช้ประโยชน์ของพันธุ์พืชอย่างยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันไม้ดอกไม้ประดับ 23 ชนิด ได้รับการขึ้นทะเบียนคุ้มครองตามพระราชบัญญัติฯ แล้ว เช่น บัวแก้ว ดาวเรือง ลั่นทม กล้วยไม้สกุลแวนด้า เป็นต้น


ด้านนายภูเบศร์ เจษฎ์เมธี รองประธานสภาดอกไม้โลก ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และนางสาวพรรณวิภา ศุภธนพัฒน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท อารดาดีไซส์ จำกัด ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไม้ดอกไม้ประดับทั้งในและต่างประเทศ ให้ข้อมูลว่า ผู้ประกอบการควรศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดต่างประเทศทุกภูมิภาค เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ อาทิ แถบตะวันออกกลางนิยมไม้ใบจากไทย เพื่อใช้สำหรับตกแต่งเพิ่มความสดชื่นให้พื้นที่แห้งแล้ง ญี่ปุ่นนำเข้าไม้ดอกขนาดเล็กจากไทยจำนวนมาก เพื่อใช้ประดับตกแต่งในช่วงโอลิมปิก และมาเลเซียนิยมไม้ดอกที่มีอายุการใช้งานนาน และให้ความสำคัญกับสีของดอกไม้ เนื่องจากมีชาวต่างชาติอาศัยจำนวนมากและมีความหลากหลายของเชื้อชาติและศาสนา ซึ่งมาเลเซียถือเป็นตลาดที่น่าสนใจ จึงแนะนำให้ผู้ประกอบการเข้าไปลงทุนเพื่อกระจายสินค้าไม้ดอกไม้ประดับไทยมากขึ้น

ทั้งนี้ ในปี 2563 ไทยเป็นผู้ส่งออกไม้ดอกไม้ประดับอันดับที่ 11 ของโลก และเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 3 ของเอเชีย รองจากจีนและมาเลเซีย โดยไทยส่งออกไปตลาดโลกมูลค่า 132.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อาเซียน สหภาพยุโรป และเกาหลีใต้ สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ ดอกกล้วยไม้ และต้นกล้วยไม้






กำลังโหลดความคิดเห็น