ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป รอความชัดเจนของกฎหมาย ก่อนออกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชง ในผลิตภัณฑ์อาหารจากพืช และ น้ำมันในอาหาร รองรับความต้องการของผู้บริโภค ที่ใส่ใจในสุขภาพมากขึ้น
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ผู้ประกอบการธุรกิจอาหารทะเลระดับโลก รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 และผลประกอบการปี 2563 ทำผลงานยอดเยี่ยม สืบเนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมีไลฟ์สไตล์ที่ใส่ใจและดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้น โดยเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ในช่วงการแพร่ระบาดที่ผู้คนใช้เวลาอยู่บ้านกับครอบครัวและสัตว์เลี้ยงมากขึ้น
โดยผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2563 มียอดขายอยู่ที่ 33,464 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9 % เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนหน้า และกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 1,938 ล้านบาท สูงขึ้น 26.1 % ในขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.9 %
ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปบรรจุกระป๋องมียอดขายอยู่ที่ 14,440 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.8 % ในขณะที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 8 % อยู่ที่ 5,287 ล้านบาท เนื่องจากผู้บริโภคเลือกซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารกระป๋องที่สามารถเก็บไว้ได้นานมากขึ้นในช่วงที่ใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น
ขณะที่ธุรกิจอาหารแช่แข็งและธุรกิจที่เกี่ยวข้องมียอดขาย 13,738 ล้านบาท ลดลง 6.5 % ลดลงเล็กน้อยในไตรมาสสุดท้ายของปี
หากรวมผลประกอบการทั้งปี 2563 ไทยยูเนี่ยนโชว์ผลงานยอดเยี่ยม โดยมียอดขายอยู่ที่ระดับ 132,402 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.9 % มีกำไรสุทธิ 6,246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63.7 % โดยบริษัทฯ จะจ่ายเงินปันผล 40 สตางค์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 81.8 % รวมทั้งปีปันผล 72 สตางค์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 53.2 % เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
นายธีรพงศ์ กล่าวว่า ปี 2564 TU ตั้งงบลงทุนปีนี้ไว้ประมาณ 6,000 ล้านบาท มากกว่าปีก่อนที่ใช้งบลงทุนไปเพียง 3,700 ล้านบาท โดยแบ่งไปลงทุนในประเทศ ที่จะผลิตโปรตีนไฮโดรไลเสท (Protein hydrolysate ) ,คอลลาเจน , ธุรกิจอาหาร ส่วนการลงทุนในต่างประเทศ จะลงทุนก่อสร้างห้องเย็นใหม่ ในประเทศ กานา
สำหรับธุรกิจกัญชง ขณะนี้ ไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป อยู่ระหว่างศึกษา ที่จะนำกัญชง เป็นส่วนผสมในหลายผลิตภัณฑ์ เช่น อาหารเสริม ,อาหารกระป๋อง โดยได้ทดลองนำไปทำเป็นทูน่ากระป๋องในน้ำมันกัญชง ที่มีโอเมก้า 3 และโปรตีนจากกัญชง ขณะนี้รอกฎหมายมีผลบังคับใช้ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศก่อน รวมทั้งประเมินความต้องการของผู้บริโภคด้วย
นายธีรพงศ์ มองแนวโน้มผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2564 จะเติบโตต่อเนื่อง จากไตรมาส 4 ปี 2563 ที่มียอดขาย 33,464 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9 % ตามความต้องการสินค้าที่ยังอยู่ในภาวะการระบาดโควิด-19 และการทำงานที่บ้าน ที่ทำให้ผู้บริโภค หันมาทำอาหารรับประทานเองที่บ้านมากขึ้น อีกทั้งผู้บริโภค หันมาใส่ใจในเรื่องสุขภาพและอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น โดยวางเป้าหมายเติบโตต่อเนื่องในช่วง 5 ปีนี้ (ปี 64-68) เฉลี่ยปีละ 5% จาก 1.32 แสนล้านบาท ในปี 2563 เพิ่มเป็น 1.6 แสนล้านบาท ภายในปี 2568