กระทรวงการคลัง เชื่อหากรัฐบาล ควบคุมสถานการณ์ระบาดของโควิดรอบใหม่ในไทย ให้อยู่ในวงจำกัดได้ จะไม่กระทบภาพรวมเศรษฐกิจไทย มั่นใจจีดีพีปีหน้า ดีกว่าปีนี้แน่นอน เตรียมทบทวนตัวเลขอีกครั้งต้นปี 2564
นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) พร้อมด้วยนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนพฤศจิกายน 2563 พบว่า เศรษฐกิจไทย มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะการผลิตภาคอุตสาหกรรม การส่งออกา การบริโภคภาคเอกชน สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ปรับตัวดีขึ้น จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐในช่วงปลายปี
ส่วนสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ในไทย ยังไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้ว่าจะกระทบเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับมาตรการจำกัดการแพร่ระบาด โดยต้องติดตามสถานการณ์อีกระยะ จึงจะประเมินได้ว่า โควิดรอบนี้จมีผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างไร
รองโฆษก สศค. เชื่อว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะขยายตัวได้ดีกว่าปี 2563แน่นอน จากความสำเร็จของวัคซีนต้านโควิด และทิศทางเศรษฐกิจหลายประเทศทั่วโลกที่เริ่มฟื้น ส่งผลดีกับภาคส่งออก ซึ่งกระทรวงการคลัง จะปรับประมาณการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปี 2563 และปี 2564 อีกครั้งในเดือน มกราคม2564
สำหรับรายละเอียดภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนพฤศจิกายน 2563 เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ขยายตัว 2.5 % จากเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล และหดตัวชะลอลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ –6.5% ต่อปี สอดคล้องกับการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งขยายตัว8.7 % จากเดือนก่อนหน้า หลังขจัดผลทางฤดูกาล และหดตัวชะลอลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ –7.2% ต่อปี
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 52.4 จากเดือนก่อนที่อยู่ที่ 50.9 โดยเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการดำเนินมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐในช่วงปลายปี ประกอบด้วย โครงการ“คนละครึ่ง” โครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ซึ่งมีส่วนช่วยสนับสนุนการบริโภคให้ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น ทำให้เกษตรกรเริ่มมีรายได้สูงขึ้น โดยในเดือนพฤศจิกายน 2563 รายได้เกษตรกรที่แท้จริง ขยายตัว 13.6 % ต่อปี ส่งผลให้กำลังซื้อในภูมิภาคต่าง ๆ เริ่มปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ดี ยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ยังคงชะลอตัว
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนส่งสัญญาณทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ขยายตัว8.2% ต่อปี ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน สอดคล้องกับปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนที่ขยายตัว 6.2 % จากเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล และหดตัวชะลอลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ –3.2 % ต่อปี สำหรับการลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ขยายตัว 10.8 % จากเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล และหดตัวชะลอลงจากช่วงเดียวกัน
ปีก่อนที่ –1.5 % ต่อปี อย่างไรก็ดี การจัดเก็บภาษีการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ลดลง -11.4 %ต่อปี
เศรษฐกิจภาคการค้าระหว่างประเทศ ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ หดตัวในอัตราที่ชะลอลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -3.7 % ต่อปี จากทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ตลาดคู่ค้าหลักของไทยเกือบทุกตลาดปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ที่ 15.4 % เช่นเดียวกับการส่งออกไปทวีปออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ขยายตัว 23.7 % และ 5.4 %ต่อปี ตามลำดับ
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกันมาอยู่ที่ระดับ 87.4 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากคำสั่งซื้อ ยอดขาย และการผลิตที่ปรับดีขึ้นทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยตลาดในประเทศได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐอย่างต่อเนื่องในโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการ“คนละครึ่ง” โครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ทำให้เกิดการผลิตสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการภายในประเทศมากขึ้น ขณะที่ตลาดต่างประเทศมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าอาหาร สินค้าที่เกี่ยวกับการแพทย์ และกลุ่มสินค้าในช่วงเทศกาลปีใหม่ อาทิ รองเท้า เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น สำหรับภาคเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 3.6 ต่อปี จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตข้าวเปลือก ปาล์มน้ำมัน และมันสำปะหลัง เป็นต้น
เสถียรภาพเศรษฐกิจ ยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ -0.4 % ต่อปี และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.2 % ต่อปี ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2563 อยู่ที่ 49.5% ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2563 อยู่ในระดับสูงที่ 253.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ