xs
xsm
sm
md
lg

ผลศึกษาFTAไทย– อียู ดันส่งออกไปอียูเพิ่มกว่า 2 แสนล./ปี

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เผยแพร่ผลศึกษาประโยชน์และผลกระทบจากการจัดทำ FTA ไทย-อียู พบว่า ช่วยส่งออกสินค้าไปอียูจะเพิ่มกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี รายได้เกษตรกรเพิ่ม 1.1 % คนจนลดลง 2.7 แสนคน ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์ แต่มีประเด็น ที่ต้องหารือทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด เจรจาอย่างรอบคอบ และต้องให้เวลาปรับตัว


นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่าเมื่อช่วงกลางปี 2562 กรมฯ ได้มอบสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (ไอเอฟดี) ศึกษาประโยชน์และผลกระทบจากการฟื้นเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรป (EU) ซึ่งดำเนินการเสร็จแล้ว กรมฯ จึงนำผลการศึกษาเผยแพร่บนเว็บไซต์กรมฯ www.dtn.go.th เพื่อผู้ที่สนใจสามารถใช้ประโยชน์จากรายงานการศึกษาดังกล่าว และคาดว่า จะเสนอระดับนโยบายพิจารณาต้นปี2564

ผลศึกษา ประเมินว่า หากไทยและอียู (27 ประเทศ) ไม่รวมสหราชอาณาจักร ยกเลิกภาษีนำเข้าระหว่างกันหมดแล้ว จะช่วยให้ GDP ของไทยขยายตัวในระยะยาว 1.28% คิดเป็นมูลค่า 2.05แสนล้านบาทต่อปี

การส่งออกของไทยไปอียูเพิ่มขึ้น 2.83% (2.16 แสนล้านบาท) ต่อปี และการนำเข้าจากอียูเพิ่มขึ้น 2.81%  (2.09 แสนล้านบาท) ต่อปี โดยสินค้าส่งออกของไทยที่มีโอกาสขยายตัวและเข้าถึงตลาดอียูได้ง่ายขึ้น เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้าและสิ่งทอ ผลิตภัณฑ์อาหาร เคมีภัณฑ์ ยาง และพลาสติก

นอกจากนี้ การเปิดเสรีภาคบริการในสาขาสำคัญ เช่น สิ่งแวดล้อม การจัดส่งสินค้า การเงินและประกันภัย และการขนส่งทางทะเล จะช่วยลดต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง และทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว 5% (8.01 แสนล้านบาท)

จากการประเมินผลมิติด้านสังคมในภาพรวม พบว่า เศรษฐกิจที่ดีขึ้นจะทำให้จำนวนคนจนลดลง 2.7 แสนคน รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น 1.1% และช่องว่างความยากจนลดลง 0.07%

ผลการศึกษา ยังพบประเด็นท้าทายสำคัญของ FTA ที่อียูทำกับประเทศคู่ค้า เช่น เวียดนาม และสิงคโปร์ โดยเฉพาะเรื่องการยกระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ที่เกี่ยวกับการขยายระยะเวลาการคุ้มครองสิทธิบัตรจากความล่าช้าในการขึ้นทะเบียนวางตลาดยา ,การผูกขาดข้อมูลเพื่อขออนุมัติวางตลาดยา ,การให้ความคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ตามแนวทาง UPOV 1991 และการคุ้มครองสิทธิแรงงานตามแนวทางของแรงงานโลก (ILO) ซึ่งจะส่งผลให้ไทย มีค่าใช้จ่ายด้านยารักษาโรค และเมล็ดพันธุ์พืชสูงขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ต้องนำค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ไปประเมินหักลบกับประโยชน์ที่จะเกิดกับรายได้ของเกษตรกร ปริมาณผลผลิตภาคเกษตร และทางเลือกในการซื้อเมล็ดพันธุ์ที่เพิ่มขึ้น

ส่วนเรื่องการเปิดตลาดจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ จะทำให้ภาครัฐ ได้รับสินค้าและบริการที่มีคุณภาพและมีตัวเลือกมากขึ้น ราคาถูกลง ถึงแม้ธุรกิจภายในประเทศ อาจต้องเผชิญการแข่งขันมากขึ้น แต่คาดว่าไม่กระทบต่อ SMEs มากนัก เนื่องจากโครงการที่ SMEs เข้าร่วมประมูลส่วนใหญ่มีมูลค่าต่ำกว่าเกณฑ์ที่ต้องเปิดให้มีการแข่งขันประมูล

นางอรมน กล่าวว่า ประโยชน์และผลกระทบจากการศึกษาดังกล่าว ตั้งอยู่บนสมมติฐานเชิงวิชาการ ซึ่งในทางปฏิบัติ กรมฯ ยังจำเป็นต้องหารือกับทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การจัดทำท่าทีการเจรจาแต่ละประเด็น รอบคอบ รัดกุม และเกิดประโยชน์ภาพรวมกับประเทศสูงสุด รวมทั้งการหาแนวทางรองรับ และปรับตัวต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

นอกจากนี้ ยังได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชน 1,036 ตัวอย่าง จากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยประชาชนส่วนใหญ่ เห็นว่า การนำเข้าสินค้าจากอียูจะทำให้ได้รับสินค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้นและมีตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้น ผลักดันให้ธุรกิจไทย ต้องปรับปรุงประสิทธิภาพในการแข่งขันให้ดีขึ้น ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว และเห็นว่าหากไม่เปิดเสรีการค้า จะทำให้เศรษฐกิจไทยล้าหลัง

ทั้งนี้ ในปี 2562 อียู (27 ประเทศ ไม่นับสหราชอาณาจักร) เป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 5 ของไทย รองจากอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา มีมูลค่าการค้ารวม 38,227.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกไปอียูมูลค่า 19,735.9 ล้านดอลลาร์ฯ และนำเข้าจากอียูมูลค่า 18,492.1 ล้านดอลลาร์ฯ

สินค้าส่งออกสำคัญของไทย เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง ไก่แปรรูป

สินค้านำเข้าสำคัญจากอียู เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ เวชกรรมและเภสัชกรรม และส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์

ผู้ที่สนใจข้อมูลรายงานการศึกษาประโยชน์และผลกระทบจากการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป สามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศwww.dtn.go.th




กำลังโหลดความคิดเห็น