รมว.คค.ตรวจการดำเนินงานสุวรรณภูมิ รองรับเปิดประเทศ กำชับ ทอท.คุมเข้มสกัดโควิด

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และการเตรียมความพร้อมการให้บริการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิภายหลังการเปิดรับนักท่องเที่ยว

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และคณะตรวจความก้าวหน้าโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และการเตรียมความพร้อมการให้บริการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิภายหลังการเปิดรับนักท่องเที่ยว

โดยมี นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ,ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ ทอท.และ ผู้แทน กรมควบคุมโรค เข้าร่วม

นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า โครงการก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ปัจจุบันมีความก้าวหน้าการดำเนินงาน ประมาณ 90 % คงเหลือการดำเนินงานด้านสถาปัตยกรรม ตกแต่งภายใน ภูมิทัศน์ และติดตั้งระบบประกอบอาคารฯ คาดว่า จะสามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2565

เมื่อแล้วเสร็จทำให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารจากปัจจุบัน 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปี และขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างรันเวย์ที่ 3

หากแล้วเสร็จจะทำให้เพิ่มขีดความสามารถรองรับเที่ยวบินได้ 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมง เมื่อประกอบกับอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 ทำให้ท่าอากาศยานสุวรรภูมิสามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 90 ล้านคนต่อปี

นายศักดิ์สยาม มอบนโยบายให้ผู้บริหาร ทอท. ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้การให้บริการผู้โดยสารต้องปฏิบัติตามมาตรการ New normal และมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดฯ

โดยให้แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่อาคารผู้โดยสารจะเปิดให้บริการในอนาคต ให้เพียงพอต่อการรองรับผู้โดยสาร รวมทั้งปัจจุบันที่มีผู้โดยสารและเที่ยวบินใช้บริการลดลง จึงให้พิจารณาดำเนินการซ่อมแซมพื้นรันเวย์และ แท็กซี่เวย์ เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

นายศักดิ์สยาม และคณะผู้บริหารได้เยี่ยมชมห้องปฏิบัติการชีวโมเลกุล ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยให้ ทอท. เตรียมความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างเพียงพอ กรณีที่รัฐบาลจะเริ่มผ่อนคลายการเดินทางระหว่างประเทศ ในท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ทอท.

ปัจจุบัน ทอท. มีมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดโควิด–19 โดยกำหนดแนวทางการปฏิบัติงานร่วมกันให้สอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาล เช่น การตั้งจุดคัดกรองของด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ

การจัดเตรียมพื้นที่ตั้งห้องปฏิบัติการสำหรับการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยระบบการตรวจหาสารคัดหลั่งทางพันธุกรรม หรือ PCR ซึ่งมีความรวดเร็วและแม่นยำถึง95 %ที่สามารถทราบผลตรวจได้ภายใน 90 นาที

นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา ต้องผ่านกระบวนการตรวจคัดกรองโควิด-19 ตามมาตรการของรัฐเหมือนกับผู้โดยสารทั่วไป และต้องตกลงยินยอมกักตัวในห้องพัก (Alternative State Quarantine: ASQ)