ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ห่วงที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ค้างสต๊อกสูงกว่า ล้านล้านบาท เสนอรัฐ เพิ่มมาตรการกระตุ้น พร้อมจับตาสถานการณ์การเมือง หวั่นกระทบการตัดสินใจซื้อ
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ยอมรับว่า กังวลปัญหาโครงการบ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียมที่เหลือค้างสต๊อกในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างขาย (Total Supply) ทั้งหมด 1,692 โครงการ 205,851 หน่วย มูลค่ารวม 1,037,865 ล้านบาท และมีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ 32,758 หน่วย และคาดว่าครึ่งหลังของปีนี้ จะมีที่อยู่อาศัยรอการขาย 185,993 หน่วย มีมูลค่าหน่วยเหลือขาย 937,703 ล้านบาท
หากไม่ได้รับมาตรการช่วยเหลือใดๆจากภาครัฐ อาจทำให้ที่อยู่อาศัยเหลือค้างสต๊อกเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งต้องใช้เวลามากกว่า 4 ปี จึงจะระบายที่อยู่อาศัยค้างสต๊อกได้หมด
หากแยกจำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขาย พบว่า ปทุมธานี มีสต๊อกเพิ่มขึ้นมากสุด 40.4% รองลงมา คือ นครปฐม 9% และสมุทรปราการ 5.7%
ส่วนจังหวัดที่มีสต๊อกลดลงมากที่สุด คือ กรุงเทพฯ ลดลง 2.4% รองลงมาเป็น นนทบุรี ลบ 0.6% และสมุทรสาคร ลบ 0.2%
ทำเลที่มีเหลือขายมากสุด 3 อันดับแรก คือ ลำลูกกา-คลองหลวงธัญบุรี-หนองเสือ รองลงมา เป็นทำเลบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวยไทรน้อย และทำเลเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ โดยทำเลที่ขายดีสุด คือ ทำเลบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง
นายวิชัย กล่าวว่า ปัจจัยหลักที่กระทบตลาดที่อยู่อาศัยปีนี้ คือ การชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจ จากการระบาดของโควิด-19 , การถูกปฏิเสธสินเชื่อ ขณะที่ผู้ซื้อเพื่อการลงทุนก็ลดลง และชาวต่างชาติ ไม่สามารถเข้ามาซื้อได้ ทำให้ภาพรวมตลาดปีนี้ ชะลอตัวมากที่สุดนับจากวิกฤติปี 2540ส่วนสถานการณ์การเมืองจากการชุมนุมที่เกิดขึ้นช่วงนี้ ถือเป็นปัจจัยเพิ่มเติม ที่กระทบความเชื่อมั่นอยู่บ้าง
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เสนอให้ภาครัฐ ขยายมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง เหลืออย่างละ 0.01% ที่จะหมดในเดือนธันวาคม 2563 ต่อไปอีก 1ปี และขอให้ขยายสิทธิให้ผู้ซื้อบ้านมือสอง และบ้านราคา 3-5 ล้านบาท เข้ามาใช้สิทธิได้ด้วย เพราะปัจจุบันบ้านราคา 3-5 ล้านบาท มีสัดส่วนมากถึง 20% ของตลาดรวม เช่นเดียวกับบ้านมือสอง โดยมองว่า หากคนขายบ้านเก่าของตัวเองได้ ก็จะมีเงินมาซื้อบ้านใหม่แทน ซึ่งน่าจะช่วยระบายจำนวนบ้านที่เหลือค้างสต๊อกลงไปได้บ้าง