นายกรัฐมนตรี พบปะกับคณะผู้บริหารสายการบิน 7 สาย พร้อมหารือแนวทางช่วยเหลือธุรกิจ การบินของประเทศไทย จากผลกระทบโควิด-19
ที่ทำเนียบรัฐบาล คณะผู้บริหารสายการบิน 7 สาย ประกอบด้วย สายการบินไทยสมายล์ / ไทยแอร์เอเชีย / ไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ / สายการบินนกแอร์ / สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส / สายการบินไทยเวียตเจ็ท และไทยไลอ้อนแอร์ ทยอยเข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเข้ายื่นหนังสือขอให้รัฐบาลพิจารณามาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจ การบินของประเทศไทย หลังได้รับจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยมีปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงคมนาคม และเลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. เข้าร่วมการประชุมด้วย
หลังเสร็จสิ้นการประชุม นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกรัฐบาล ออกมาแถลงร่วมกับ นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานกรรมการผู้บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย เพื่อกล่าวถึงผลการประชุม และข้อเสนอรวม 3 ประเด็น ที่ได้ยื่นต่อนายกรัฐมนตรี คือ
1. ขอให้เร่งรัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan)ซึ่งเบื้องต้นทราบว่ากระทรวงการคลังได้มอบให้ธนาคารออมสินเป็น ผู้ดำเนินการแล้วแต่ยังติดปัญหาการประเมินเรื่องหลักทรัพย์ค้ำประกันซึ่งผู้ประกอบการต้องการให้รัฐบาลผ่อนปรนให้นำใบอนุญาตประกอบการกิจการค้าขายในการเดินอากาศใหม่(AOL)ซึ่งเป็นใบอนุญาตฯที่ได้รับจาก กพท.แปลงเป็นทุนได้หรือไม่เพราะถือเป็น ใบสำคัญที่สามารถนำมาหารายได้และ นำไปเช่าซื้อเครื่องบินได้
2. เสนอขอขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินจาก 4.726 บาทต่อลิตรเหลือ 0.20 บาท ต่อลิตรซึ่งจะสิ้นสุดสิ้นเดือนกันยายนนี้
3. ขยายเวลาการลดค่าบริการในการ ขึ้นลงของอากาศยาน(Landing)และ ค่าบริการที่เก็บอากาศยาน(Parking) ในอัตรา 50% ซึ่งจะสิ้นสุดเดือนธ.ค.นี้ ออกไปอีก
4. ขอให้รัฐบาลช่วยปลดล็อกให้ ผู้ประกอบการสายการบินสามารถจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบินได้ตามปกติโดยมอบให้ผู้ประกอบการไปจัดทำ รายละเอียดมาว่าจะมีวิธีการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบินอย่างไรเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19
นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังพูดถึงการเตรียมความพร้อมในการเปิดประเทศเพื่อรองรับชาวต่างชาติ แต่เป็นการพูดถึงภาพรวมไม่ได้ลงรายละเอียด เพราะวัตถุประสงค์ต้องการให้ธุรกิจสายการบินเดินได้ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นเศรษฐกิจของธุรกิจการบินก็จะกลับมาเหมือนเดิม
ด้านนายธรรศพลฐ์ ยืนยันว่า หลังจากได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี ทำให้วันนี้สายการยิ้มได้ เพราะนายกรัฐมนตรีรับปาก ซึ่งทางฝั่งผู้ประกอบการก็ยืนยันว่าจะไม่ไล่พนักงานออก ส่วนเงินที่ได้มา 2 หมื่น 4 พันล้านบาท จะนำใช้เรื่องสภาพคล่องของธุรกิจการบินโดยครึ่งหนึ่งจะเป็นเงินเดือนพนักงาน และคาดว่าจะสามารถดำเนินธุรกิจไปได้อีกอย่างน้อย 1 ปี และจะใช้คืนได้ภายใน 5 ปี