ผู้ว่าการ รฟท.คนใหม่ “นิรุฒ มณีพันธ์”ประกาศ3 ยุทธศาสตร์หลัก ขับเคลื่อนการรถไฟฯ ผู้นำขนส่งทางราง และประกาศสู้ไม่ถอยคดีค่าโง่โฮปเวลล์ ล่าสุดยื่นฟ้องศาลปกครองกลาง ขอให้นายทะเบียน มีคำสั่งเพิกถอนจดทะเบียนของโฮปเวลล์ตั้งแต่ปี 2533
นายนิรุฒ มณีพันธ์ แถลงนโยบายครั้งแรก หลังเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) โดยมีนโยบายขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคตการเป็นผู้นำระบบราง เพื่อยกระดับการขนส่งของประเทศ ผ่านแผนยุทธศาสตร์หลัก 3 ด้านที่จะขับเคลื่อนการรถไฟฯ ให้กลับมาแข็งแกร่งและเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ประกอบด้วย 1.การเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการขนส่งทางราง 2.การเพิ่มรายได้และการลดค่าใช้จ่าย 3.การขับเคลื่อนและการยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อให้สอดคล้องตามวิสัยทัศน์ของการรถไฟฯในการ“เป็นผู้ให้บริการระบบรางของรัฐที่ดีที่สุดในอาเซียนในปี 2570”
สำหรับแผนการเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการขนส่งทางรางนั้น ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ /โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง และส่วนต่อขยาย /โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการรถไฟความเร็วสูง (กรุงเทพ – นครราชสีมา) และโครงการรถไฟเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง – สุวรรณภูมิ – อู่ตะเภา) การพัฒนาพื้นที่รอบสถานีใหญ่ อาทิ สถานีกลางบางซื่อ สถานีแม่น้ำ สถานีมักกะสัน เป็นต้น สำหรับการเพิ่มรายได้และการลดค่าใช้จ่ายการรถไฟฯจะมุ่งเน้นในเรื่องของการสร้างรายได้ทั้งในธุรกิจหลัก (Core Business) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร และธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก (Non Core Business) สำหรับการสร้างรายได้เสริมให้การรถไฟฯ จากสินทรัพย์ที่ไม่อยู่ในสภาพใช้งาน เช่น ซากสิ่งของเหลือใช้ ตู้รถไฟเก่า หมอนไม้ เศษเหล็ก ต้องหารูปแบบการบริหารจัดการดังกล่าว
ส่วนการขับเคลื่อนและการยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน ด้วยการพัฒนาองค์กรและการจัดการให้เชื่อมโยงอย่างบูรณาการ โดยจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถให้กับพนักงานในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับสถาบันการศึกษาชั้นนำในการยกระดับโรงเรียนวิศวกรรมรถไฟ การพัฒนาความรู้ ความสามารถของบุคลากร เพื่อให้มีศักยภาพตรงตาม Competency ที่การรถไฟฯ ต้องการ และการ Reskill & Upskill พนักงาน โดยมีส่วนสำคัญคือ การรักษาองค์ความรู้ โดยการสร้างระบบถ่ายทอดและเก็บรักษาองค์ความรู้จากรุ่นสู่รุ่น (Knowledge anagement) รวมถึงการรถไฟฯ มีแนวทางในการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เพื่อช่วยยกระดับมาตรฐานการบริการให้ดีและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ผู้ว่าการ รฟท. ยังชี้แจงความคืบหน้าคดีค่าโง่โฮปเวลล์ หลังจากที่ผ่านมากระทรวงคมนาคม ยืนยันจะต่อสู้คดีนี้ถึงที่สุด โดยยืนยันว่า คดีนี้ รฟท.จะดำเนินการอย่างเต็มที่ โดยจะต่อสู้คดีไม่มีถอย ล่าสุด รฟท.ได้ยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครองกลางไปแล้ว เพื่อขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอฟังคำสั่งของศาลปกครองกลาง ว่า จะมีคำสั่งว่าอย่างไร
นายนิรุฒ กล่าวด้วยว่า รฟท.มีทรัพย์สินจำนวนมาก โดยเฉพาะที่ดินที่มีทั้งหมด (รวมเขตทาง) ราว 2.4 แสนไร่ โดยในจำนวนนี้มีการใช้เป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ราว 2 หมื่นไร่ ที่มีรายได้ค่าเช่าเพียง 2 พันกว่าล้านบาท ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าน้อยมาก เพราะที่ดินบางส่วนอยู่ใจกลางเมือง จึงเห็นว่าควรจะปรับอัตราค่าเช่าให้สมเหตุสมผลมากขึ้น แต่ก็ยอมรับว่าการบริหารจัดการไม่ง่าย เพราะมีบางส่วนที่ชาวบ้านบุกรุกพื้นที่ หรือคนเช่าเดิมไม่ยอมจ่ายเงินและซื้อเวลาในศาล
ทั้งนี้ จะมีการบริหารจัดการอย่างเป็นรูปธรรม ต้องมาดูในรายละเอียด ซึ่งต้องจัดระบบให้สอดคล้องกับบริบทในอนาคต เช่น การจัดเก็บค่าเช่า โดยจะหารือกับธนาคารกรุงไทยเพื่อเชื่อมระบบจัดเก็บที่มีผู้เช่าเป็นหมื่นรายให้เกิดความสะดวกและไม่รั่วไหล รวมทั้งเตรียมเปิดให้บริหารพื้นที่สถานีตามหัวเมืองใหญ่ เช่น ขอนแก่น นครราชสีมา สถานีแม่น้ำ สถานีมักกะสัน โดยจะพยายามจัดระบบการบริหารจัดการพื้นที่ใหม่ให้แล้วเสร็จภายในปีนี้