ฝ่ายค้าน ยันพร้อมอภิปรายกฎหมายกู้เงิน 3 ฉบับอย่างเต็มที่ ย้ำไม่เห็นด้วยกรณีรัฐบาลเสนอกำหนดระยะเวลาอภิปรายแค่ 3 วัน
วันนี้(20 พ.ค.63 ) ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ได้จัดการประชุมแกนนำ 6 พรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยมีวาระเพื่อพิจารณาความเหมาะสม ท่าที และจุดยืนของฝ่ายค้านในสภาฯต่อ พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 พ.ศ.2563 ทั้ง 3ฉบับ คือ พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท , พ.ร.ก. การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 และ พ.ร.ก. การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. 2563 นอกจากนี้ ยังรวมถึงการเสนอญัตติด่วนต่อสภา ฯให้ตั้ง กมธ. วิสามัญเพื่อติดตามการใช้งบประมาณตาม พ.ร.ก. ทั้ง 3 ฉบับ
โดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านได้ปรึกษากันถึงแนวทางอภิปราย และตรวจสอบการพ.ร.ก.กู้เงินทั้งเรื่องของสาธารณสุข การช่วยเหลือประชาชน เกษตรกร ผู้ประกอบการ และเรื่องเกี่ยวกับการฟื้นฟูด้านเศษฐกิจ ซึ่งการที่ออก พ.ร.ก ออกมาก็เห็นด้วย เพราะเป็นการช่วยเหลือประชาชน เพียงแต่ไม่มีรายละเอียดการใช้จ่ายเลย ในส่วนนี้ก็จะต้องมีการสอบถามเพื่อความชัดเจน
สำหรับการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ฝ่ายค้านก็มีความเห็นด้วย เพราะถือว่าเป็นส่วนประกอบด้านเศรษฐกิจ แต่อาจทำให้มีช่องว่างทำให้เกิดการทุจริตได้ ซึ่งจะต้องมีการสอบถามว่ารัฐบาลจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร ซึ่งการบริหารเม็ดเงินที่ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมากมายนั้น นายกรัฐมนตรี ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องรับผิดชอบหากเกิดปัญหาความเสียหายขึ้นในอนาคต
ด้านหัวหน้าพรรคก้าวไกล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กล่าวถึง พ.ร.ก.เงินกู้ ที่จะเข้าสภาเพื่อพิจารณาในวันที่ 27 พฤษภาคมนี้ว่า ในช่วงเวลานี้จะกลายเป็นอดีตที่เกิดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เกิดช่องว่างทางสังคม เป็นอดีตที่คนต้องเลือกระหว่างจะซื้อข้าวหรือหน้ากากอนามัย และเงินกู้จำนวนมากจะต้องนำไปใช้ในอนาคตที่มีความเท่าเทียมกัน ที่ให้ความกับประชาชนเป็นใหญ่ ที่มีการจัดระบบสวัสดิการใหม่
สำหรับปัญหาโควิด-19 ครั้งนี้ ถือว่าเป็นวิกฤติครั้งสำคัญที่เด็กในอนาคตจะมองกลับมา ซึ่งพรรคก้าวไกลมองว่า การกู้เงินเป็นเรื่องที่จำเป็น แต่ก็ต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียด โดยกรอบเวลาที่รัฐบาลให้มา 3 วัน ตนมองว่าไม่เหมาะสม เพราะกลไกของสภาจะต้องมีการถกเถียงหารือกันเสียก่อน เพื่อหาข้อสรุป จำเป็นที่จะต้องมีกรรมาธิการวิสามัญเพื่อติดตามและตรวจสอบการใช้งบประมาณ ในการแก้ปัญหาภายใต้สถานการณ์โควิด เพื่อตรวจสอบการใช้งบประมาณจำนวนนี้ เพราะความต้องการของพรรคก้าวไกล คือต้องการรักษาผลประโยชน์ให้กับประชาชน
ขณะที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวสรุปว่า พรรคร่วมฝ่ายค้าน ต้องการให้รัฐบาลแยกรายละเอียดของการใช้งบประมาณในแต่ละ พ.ร.ก. เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีประสิทธิภาพ และโปร่งใสที่สุด ซึ่งการเปิดสภาครั้งนี้ตนก็ไม่เห็นด้วยที่จะมีการอภิปรายเพียงแค่ 3 วัน ควรเปิดให้มีการอภิปรายอย่างเต็มที่ จะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับการชี้แจงของรัฐบาลว่าละเอียดมากน้อยแค่ไหน ส่วนตัวก็ไม่เห็นด้วย กับการที่รัฐบาลจะรวบ พ.ร.ก. แต่ละฉบับไว้ในวาระเดียว อยากให้พิจารณาเป็นราย พ.ร.ก. เพราะแต่ละฉบับมีข้อพิจารณาที่แตกต่างกัน ส่วนการตรวจสอบ ควรให้พรรคการเมืองทุกพรรคได้เลือกผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามาร่วมในคณะกรรมการติดตามด้วย เพื่อทำให้เกิดความชัดเจนกับทุกฝ่ายและต้องเกิดประโยชน์สูงสุด
เช่นเดียวกับ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ ที่ย้ำว่า ไม่ไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลจะควบรวมอภิปราย พ.ร.ก.ทั้ง 3 ฉบับ ไว้ในครั้งเดียว เพราะควรแยกพิจารณาทีละฉบับ เพราะแต่ละฉบับมีวัตถุประสงค์ที่ไม่เหมือนกัน ส่วนเรื่องเงินเยียวยา ต้องมีการสอบถามว่า ทำไมรัฐบาลต้องกลั่นกรองให้เกิดความยุ่งยาก และล่าช้าเป็นอย่างมาก จนทำให้บางคนที่รอไม่ได้ต้องฆ่าตัวตาย รัฐบาลต้องเข้าใจว่าความเดือดร้อนขณะนี้เกิดการวิกฤตการ ไม่ใช่การเดือดร้อนที่เกิดขึ้นตามปกติ และเชื่อว่า เมื่อมีการพิจารณาเงินกู้สิ้นสุดลง ก็ยังมีคนที่ไม่ได้รับการช่วยเหลืออยู่ดี ไม่ใช่ว่าเงินไม่มากพอ แต่ผิดที่หลักคิดตั้งแต่แรก ทั้งนี้ เงินฟื้นฟูเศรษฐกิจ หน่วยงานรัฐ ไม่ควรคิดถึงเงินทอน แต่ควรจะทำโดยให้ประชาชนมีส่วนในการคิดและได้ลงมือทำเองด้วย