xs
xsm
sm
md
lg

รัฐ-เอกชน โชว์ 4 มาตรการ รับมือสหรัฐฯตัดสิทธิ GSP

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


นายสรรเสริญ สมะลาภา
ทางการไทย โชว์ 4 มาตรการรับมือสหรัฐฯตัดสิทธิจีเอสพีไทย ที่จะมีผล 25 เม.ย.นี้ จี้ผู้ประกอบการ เร่งตีตลาดใหม่

นายสรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เสวนาหัวข้อง “ตัดสิทธิ GSP : SMEs รับมืออย่างไร?” โดยกล่าวว่า “ภาพรวมการส่งออกของไทยในปี 2562 มีมูลค่า 482,884 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนภาพรวมการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯนั้น สหรัฐฯ ถือเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย เป็นคู่ค้าลําดับที่ 3 ด้วยมูลค่าการค้ารวม 48,649 ล้านดอลลาร์ฯ หรือคิดเป็น 10% ของการส่งออกไทย

โดยเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2561 ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศตัดสิทธิพิเศษทั่วไปทางภาษี (GSP : Generalized System of Preferences) กับประเทศไทย โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 เมษายน 2563 จำนวน 573 รายการ (จากสินค้าที่ได้รับสิทธิ GSP ประมาณ 3,500 รายการ) สำหรับสินค้าสำคัญที่ถูกระงับสิทธิ GSP อาทิ มอเตอร์ไซค์ แว่นสายตา เครื่องจักรกลและ อุปกรณ์ไฟฟ้า เป็นต้น ส่งผลให้คาดการณ์ว่า เมื่อมาตรการมีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 เมษายน 2563 มูลค่าการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ จะมีมูลค่าลดลง ประมาณ 28-32 ล้านดอลลาร์ฯ หรือคิดเป็น 0.01 % ของมูลค่าการส่งออกรวม นอกจากนี้ คาดการณ์ว่า การที่ไทยถูกตัดสิทธิ์ GSP ดังกล่าว ทำให้ต้นทุนส่งออกของไทยเพิ่มขึ้นประมาณ 50 ล้านดอลลาร์ฯ เนื่องจากถูกเก็บภาษีนำเข้าสูงขึ้นเฉลี่ย 4.5%

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์
นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่พัฒนาและสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจสินค้าส่งออก ตระหนักถึงผลกระทบจากเรื่องดังกล่าว จึงได้หารือเพื่อจัดตั้งคณะทำงานภายในกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศ และร่วมกับหน่วยงานภายนอก คือธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank of Thailand) รวมทั้งหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง วางมาตรการรับมือ 4 รูปแบบ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว คือ

1. เร่งกระตุ้นให้เกิดความต้องการสินค้าไทย รวมถึงสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากการตัดสิทธิจีเอสพี ในตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ โดยมีตลาดเป้าหมายในปีนี้ ได้แก่ ตลาดจีน / อินเดีย / กลุ่มประเทศ CLMV / กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง / กลุ่มประเทศลาตินอเมริกา ซึ่งยังถือได้ว่ายังคงมีศักยภาพที่พร้อมต้อนรับสินค้าไทยในตลาดทางเลือกใหม่ๆ

2.ผลักดันผู้ประกอบการไทย ให้สามารถใช้ประโยชน์จากการค้าออนไลน์เป็นช่องทางลัด ในการขยาดตลาดสู่ต่างประเทศ ผ่าน Thaitrade.com รวมถึงเร่งเปิดTop Thai Flagship Store ร้านขายสินค้าไทยบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์สชั้นนำของต่างประเทศ (จีน อินเดีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย) ซึ่งถือได้ว่าเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันความนิยมของสินค้าไทยในตลาดซื้อขายออนไลน์ให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสนับสนุนสินค้าคุณภาพของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สัญชาติไทยให้สามารถเจาะตลาดต่างประเทศได้อย่างรวดเร็วขึ้น

3.ให้ความรู้กับผู้ประกอบการผ่านการเสวนา/อบรม ด้วยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์ปัญหาและผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น รวมถึงแนะนำข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบและต้องการหาตลาดใหม่ทดแทนตลาดสหรัฐฯ รวมถึงส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยในกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบให้ได้รับทราบถึงมาตรการภาครัฐ รวมถึงมาตรการด้านสินเชื่อต่างๆ จากธนาคารภาครัฐ เช่น EXIM BANK

4.พัฒนาและเพิ่มมูลค้าสินค้า ด้วยแบรนด์ นวัตกรรม และการตลาดอย่างต่อเนื่อง เน้นการตอบสนองต่อความต้องการของพฤติกรรมของผู้ซื้อในแต่ละประเทศ ตอบสนองต่อกระแสตลาดโลก อาทิ สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สินค้าเพื่อสุขภาพ และสินค้าที่ตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มลูกค้าเฉพาะ(Niche Market)
ทุกหน่วยงาน มั่นใจว่า แนวทางที่วางไว้ จะช่วยกระตุ้นความตื่นตัวของผู้ประกอบการให้สามารถวิเคราะห์และวางแผนล่วงหน้าเพื่อจัดการสถานการณ์การค้าโลกได้ทันท่วงที และสามารถพลิกทุกวิกฤติให้เป็นโอกาสในการส่งออกไปยังตลาดประเทศใหม่ๆได้ด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น