xs
xsm
sm
md
lg

ลึกทันใจ ; เปิดโปงกลุ่มเสียประโยชน์จากกัญชา ที่มาการจับกุมมูลนิธิขวัญข้าว

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


รายงานพิเศษ ลึกทันใจ ตอน เปิดโปงกลุ่มเสียประโยชน์จากกัญชา ที่มาการจับกุมมูลนิธิขวัญข้าว ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม NEWS1 วันพุธที่ 10 เมษายน 2562



เรื่องที่ตำรวจนำกำลังเข้าตรวจค้นในที่ทำการมูลนิธิข้าวขวัญ จ.สุพรรณบุรี และจับกุมเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ พร้อมของกลางกัญชา 200 ต้น น้ำมันสกัดจากกัญชา กัญชาบดแห้งและเมล็ดกัญชาตากแห้ง พร้อมทั้งเตรียมดำเนินคดีกับนายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ ในข้อหาร่วมกันผลิตกัญชาและครอบครองกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น นอกจากตำรวจจะไม่ได้รับคำชื่นชมใด ๆ แล้ว กระแสสังคมส่วนใหญ่ ยังมองว่าเป็นการบังคับใช้กฎหมายที่ไร้เหตุผล โดยที่ไม่ได้พิจารณาถึงพฤติกรรมและเจตนาที่แท้จริง เนื่องจากการผลิตน้ำมันกัญชาของมูลนิธิไม่ได้ทำเพื่อการค้าแต่เป็นการผลิตเพื่อแจกจ่ายให้ผู้ป่วยที่กำลังทุกข์ทรมานจากโรคมะเร็งนำไปใช้ในการรักษากันอย่างฟรี ๆ

จึงกลายเป็นที่มาของปรากฏการณ์ “#SaveDecha” บนหน้าเฟซบุ๊ก องค์กรด้านสุขภาพและภาคประชาชนต้องออกมาร่วมกันระดมทุนกว่า 1 ล้านบาทเพื่อช่วยต่อสู้คดี ขณะที่กลุ่มการเมืองที่มีนโยบายสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากกัญชาอย่างพรรคภูมิใจไทยก็ออกมาประกาศว่าจะร่วมต่อสู้คดีให้อาจารย์เดชา ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ เจ้าของโครงการซึ่งผลิตน้ำมันกัญชาเพื่อใช้ในการรักษาโรค นอกจากนั้นยังมีการตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ชอบมาพากลในการเร่งรัดดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิข้าวขวัญ และเคลือบแคลงสงสัยว่าเรื่องนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือไม่

นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี หรือ BioThai ได้แสดงความแปลกใจที่มีการจับกุมมูลนิธิข้าวขวัญซึ่งเป็นองค์กรสาธารณะที่ผลิตน้ำมันกัญชาเพื่อแจกให้แก่ผู้ป่วยมะเร็ง และมาจับในช่วงเวลา 90 วันที่ขอนิรโทษกรรม แทนที่จะไปไล่จับผู้ลักลอบขายน้ำมันกัญชา ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก จากข้อมูลพบว่าน่าจะมี 3 กลุ่มที่อยู่ในข่ายได้รับผลประโยชน์หากมูลนิธิข้าวขวัญไม่สามารถผลิตน้ำมันกัญชาแจกผู้ป่วยได้ นั่นคือ

1. ข้าราชการที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการอนุมัติและจับกุมผู้ที่ปลูกและผลิตผลิตภัณฑ์ยาที่สกัดจากกัญชา เพราะหากมูลนิธิซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรไม่สามารถผลิตยาจากกัญชาเพื่อแจกจ่าย โอกาสที่จะได้ประโยชน์จากเอกชนที่มาขออนุมัติก็มีมาก หรือตราบใดที่กฎหมายยังคลุมเครือการเรียกรับผลประโยชน์จากการจับกุมก็สามารถทำได้

2. กลุ่มที่จะเสียรายได้หากมีการผลิตยารักษามะเร็งแจกจ่ายให้ผู้ป่วยฟรี

3. กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ 3 บริษัทที่มีศักยภาพในการผลิตผลิตภัณฑ์ยาจากกัญชา และมีความร่วมมือกับภาครัฐในการวิจัยพัฒนาเพื่อใช้ผลิตภัณฑ์จากกัญชา โดยทั้ง 3 บริษัทสามารถปลูกกัญชา พัฒนาผลิตภัณฑ์ และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากกัญชา ซึ่งกลุ่มนี้มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะอยู่เบื้องหลังในการสกัดไม่ให้มูลนิธิข้าวขวัญสามารถผลิตและแจกจ่ายน้ำมันกัญชาแก่ผู้ป่วยมะเร็ง
พราะทั้ง 3 บริษัทนี้มีโอกาสสูงมากที่จะเข้ามาครอบครองตลาดผลิตภัณฑ์จากกัญชาในไทย ซึ่งจากการประเมินคาดว่ามีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท จะเห็นได้ว่าผลประโยชน์มหาศาล คนกลุ่มนี้จึงทำได้ทุกอย่างเพื่อธุรกิจ

ส่วนอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต เผยว่า ธุรกิจผลิตภัณฑ์กัญชาในไทยมีมูลค่าสูงถึงเดือนละ 1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากกัญชา 1 กิโลกรัม สามารถผลิตสารสกัดกัญชาได้ 60-90 CC. ซึ่งสารสกัดจากกัญชา 1 CC. มีราคาถึง 1,000 บาท ดังนั้นจึงมีหลายกลุ่มที่ได้รับประโยชน์หากมูลนิธิข้าวขวัญไม่สามารถผลิตน้ำมันกัญชามาแจกจ่ายให้แก่ผู้ป่วยได้คือ

1. กลุ่มธุรกิจใต้ดินซึ่งผลิตผลิตภัณฑ์ยาจากกัญชา โดยจากข้อมูลพบว่าปัจจุบันมีการใช้กัญชาถึงเดือนละ 10 ตันในการผลิตยาจากกัญชาในรูปแบบของธุรกิจใต้ดิน ซึ่งมีทั้งบริษัทขนาดใหญ่และขนาดย่อม

. องค์การเภสัชฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐที่มีโอกาสปลูกและผลิตผลิตภัณฑ์ยาจากกัญชาอย่างถูกกฎหมาย โดยจะใช้กัญชาสายพันธุ์ต่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลให้คนไทยใช้ผลิตภัณฑ์ยาจากกัญชาในราคาสูง และอาจทำให้กัญชาสายพันธุ์ไทยหายไป

3. กลุ่มทุนต่างชาติ ซึ่งมีโอกาสที่จะผูกขาดสิทธิบัตรกัญชาทั้งที่เป็นพืชและที่เป็นผลิตภัณฑ์จากกัญชา เนื่องจากยื่นขอสิทธิบัตรก่อนคนไทย

ส่วนเรื่องการจับกุมเจ้าหน้าที่มูลนิธิขวัญข้าวนั้น เจ้าหน้าที่รัฐไม่มีสิทธิ์จับกุมในช่วงนิรโทรกรรม 90 วัน เพราะรัฐบาลกำหนดข้อผ่อนผันดังกล่าวออกมาเอง ระหว่างนี้มูลนิธิข้าวขวัญสามารถผลิตและแจกจ่ายน้ำมันกัญชาได้ โดยมีเวลาที่จะขอขึ้นทะเบียนได้จนถึงวันที่ 25 พฤษภาคมนี้ และถึงแม้จะขอขึ้นทะเบียนไปแล้วแต่ไม่ได้รับอนุญาต เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มีสิทธิ์แค่ริบของกลางแต่ไม่มีสิทธิ์สั่งจำคุก การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) จึงไม่ชอบมาพากล

ทั้งนี้ รายงานข่าวแจ้งว่าครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบุกตรวจมูลนิธิข้าวขวัญ ตำรวจเพียงแต่จะยึดของกลางเท่านั้น แต่ระหว่างนั้นมีโทรศัพท์จากผู้ใหญ่เข้ามาสั่งการจึงมีการจับกุมเจ้าหน้าที่มูลนิธิด้วย
ขณะที่ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ เห็นว่า อาจมีกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่เข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้ เพราะแปลกมากที่มีตำรวจเข้าไปจับกุมเจ้าหน้าที่มูลนิธิข้าวขวัญซึ่งผลิตน้ำมันกัญชาในช่วงที่อยู่ระหว่างการนิรโทษกรรม 90 วัน “ปัญหาคือใครสั่ง? เรื่องนี้น่าจะมีเบื้องหลังอย่างแน่นอน

ทีมข่าวลึกทันใจ รายงาน
กำลังโหลดความคิดเห็น