รายงานพิเศษ ลึกทันใจ ตอน Blind Trust มุกแป้กช่วงโค้งสุดท้ายของธนาธร!! ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม NEWS1 วันพุธที่ 20 มีนาคม 2562
การที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ออกมาปล่อยหมัดในช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงด้วยการประกาศโอนทรัพย์สินกว่าห้าพันล้านบาท ให้บริษัทหลักทรัพย์เป็นผู้ดูแลจัดการโดยไม่มีอำนาจสั่งการหรือยุ่งเกี่ยว หรือที่เรียกว่า Blind Trust จนกว่าจะพ้นจากการเมืองเป็นเวลา 3 ปีนั้น ต้องบอกตรงๆว่า นอกจากจะไม่ได้ผลในทางบวกแล้ว ยังกลับได้ผลในทางตรงข้ามคือจะติดลบเอาเสียด้วยซ้ำ เพราะการที่ออกมาอวดอ้างประกาศว่า เขาเป็นคนทำเรื่องนี้เป็นคนแรกเพื่อต้องการสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับนักการเมืองที่เดินหน้าไปไกลยิ่งกว่าที่กฎหมายกำหนดเอาไว้หลายเท่านั้น แค่นี้ก็ผิดแล้ว เพราะนักการเมืองคนอื่น ๆ เขาทำมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยการเปิดเผยของสำนักข่าวอิศราฯว่าเคยมีนักการเมืองที่เคยทำแบบเดียวกันนี้ไม่น้อยกว่า 15 คน เมื่อย้อนกลับไปตั้งแต่เมื่อครั้งใช้รัฐธรรมนูญเมื่อปี 2540 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน โดยนักการเมืองเหล่านั้นหลายคนก็ยังอยู่ในวงการเมืองมาจนถึงวันนี้ เพียงแต่ว่าพวกเขาอาจจะไม่รวยเท่า หรือจำนวนมูลค่าทรัพย์สินไม่มากถึงจำนวนห้าพันล้านบาทเหมือนของนายธนาธรเท่านั้นแหละ
นอกจากนี้ ยังมีเสียงค่อนขอดกันอย่างเซ็งแซ่ว่า หากมีจิตสำนึกที่ดีจริงๆ ที่อยากแสดงความโปร่งใสของตัวเอง ทำไมเพิ่งจะมาคิดได้ในช่วงที่กำลังจะลงคะแนนในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ซึ่งทำให้มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเป็นการ”สร้างกระแสทางการเมืองให้ตัวเองดูดีขึ้นมาเท่านั้น” ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ที่คุยๆไว้ว่าจะมาเปลี่ยนแปลงการเมืองเดินหน้าไปสู่ยุคใหม่นั้นมันก็”เหม็นขี้ฟัน”เปล่าๆ
สำหรับเรื่องของ Blind Trust ในวงการตลาดหลักทรัพย์เขาคุยกันว่ายังไม่มีจริงในประเทศไทย เพราะยังไม่มีกฎหมายรองรับ เป็นเพียงการโอนทรัพย์สินให้สถาบันการเงินดูแล ซึ่งนักการเมืองคนอื่นหลายคนก็เคยทำแบบนี้มาแล้วตามกฎหมาย และตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่ ธนาธร ทำอยู่นั้นไม่ใช่หมายความว่า “มองไม่เห็น” แต่ความหมายก็คือ ในเมื่อทุกคนไม่รู้ว่ามีทรัพย์สินอะไรบ้าง การตรวจสอบจึงทำไม่ได้ เพราะไม่รู้ ดังนั้นถ้าหากต้องการให้โปร่งใสตรวจสอบได้ก็ต้องขายขาด หรือต้องเปิดเผยว่ามีทรัพย์สินอะไรบ้างเพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ ถ้าทำอย่างนี้ยังจะเข้าท่าและน่าจะได้เสียงชมมากกว่า แต่ก็ไม่ทำ!!
ดังนั้น เรื่องของ Blind Trust แทนที่จะได้คำชม กลับได้คำเย้ยหยัน ติฉินนินทาและยิ่งกลับทำให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงสงสัยมากขึ้นกว่าเดิมว่าจะเป็น “ของจริง” หรือ “ของปลอม” กันแน่ เพราะสิ่งที่ทำตอนนี้ก็คล้าย ๆ เหมือนกับพวก”หน้าเหลี่ยม”ที่เคยโฆษณาไว้จนคนไทยหลงเชื่อกับคำว่า “รวยเล้วไม่โกง” ซึ่งมันไม่มีจริง แต่ของจริงที่มีอยู่มันคือ“ยิ่งรวย ยิ่งเหลี่ยมจัด”นั่นเอง!!
ทีมข่าว ลึกทันใจ รายงาน