xs
xsm
sm
md
lg

ลึกทันใจ : ก่อนไปเลือกตั้ง ต้องฟังทางนี้!!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


รายงานพิเศษ ลึกทันใจ ตอน ก่อนไปเลือกตั้ง ต้องฟังทางนี้!! ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม NEWS1 วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม 2562



ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า แสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนโยบายประชานิยมที่พรรคการเมืองต่างๆกำลังอัดแคมเปญกันอย่างชนิดที่เรียกว่า “ลดแหลก แจกสะบั้น”เพื่อหาคะแนนให้ได้มากที่สุด จะได้เข้าไปนั่งเป็นรัฐบาลนั้น ในความเป็นจริง สามารถทำได้ตามนั้นหรือไม่!

ดร.อานนท์ อธิบายว่า ตอนนี้เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงขาลง รายได้หลักของไทยขี้นอยู่กับการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นหลัก ก็ย่อมได้รับผลกระทบตามไปด้วย ขณะที่นโยบายประชานิยมต่างๆ ล้วนเป็นภาระหนี้ผูกพัน หากรายได้ของประเทศลดลงรัฐบาลจะนำงบประมาณจากไหนมาใช้ในการขับเคลื่อนนโยบายตามที่หาเสียงไว้

เริ่มที่ นโยบายเกิดปั๊บรับแสน ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะให้เงินกับเด็กตั้งแต่แรกเกิด เดือนละ 1,000 บาท ไปจนถึงอายุ 8 ขวบ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กไทย จากการคำนวณพบว่าจะต้องใช้งบประมาณ 96,000 บาทต่อเด็กเกิดใหม่ 1 คน

ขณะที่นโยบายมารดาประชารัฐถ้วนหน้า ของพรรคพลังประชารัฐ จะให้ค่าตั้งครรภ์รับเดือนละ 3,000 บาท สูงสุด 27,000 บาท ค่าคลอด 10,000 บาท และค่าดูแลเด็กตั้งแต่แรกเกิด เดือนละ 2,000 บาท จนเด็กอายุ 6 ขวบ คิดเป็นเงินรวม 181,000 บาทต่อเด็กเกิดใหม่ 1 คน ในภาวะเศรษฐกิจขาลงแบบนี้ ไม่ว่าพรรคไหนมาเป็นรัฐบาลก็ไม่มีงบประมาณพอที่จะดำเนินนโยบายประชานิยมอย่างที่หาเสียงไว้แน่นอน

ดร.อานนท์ ยังชี้ให้เห็นว่า นโยบายประชานิยมของพรรคต่างๆ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลักๆ คือ นโยบายที่รัฐจ่ายเงินกับนโยบายการลดภาษี สำหรับนโยบายที่รัฐจ่ายเงินนั้นจะส่งผลกระทบต่อวินัยการเงินการคลังก็ต่อเมื่อรัฐไม่มีงบประมาณพอที่จะใช้จ่ายและต้องไปกู้ยืมเงินมาใช้ในการดำเนินนโยบาย แต่นโยบายที่อันตรายอย่างมากคือการลดภาษี เช่น พรรคพลังประชารัฐจะลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลง 10% พรรคเพื่อไทยมีนโยบายลดภาษีนิติบุคคล แต่ที่น่าวิตกที่สุดคือนโยบายของพรรคภูมิใจไทยที่จะมีการปรับลดภาษีมูลค่าเพิ่ม จาก 7% เหลือ 5% เนื่องจากภาษีมูลค่าเพิ่มคือรายได้หลักของประเทศ ซึ่งรายได้จากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในแต่ละปีนั้นมีมูลค่าถึงเกือบครึ่งหนึ่งของงบประมาณแผ่นดินเลยทีเดียว ดังนั้นหากลดภาษีดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อการเงินการคลังของประเทศอย่างแน่นอน

แม้ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาคนไทยส่วนใหญ่จะคุ้นชินและชื่นชอบนโยบายประชานิยมที่รัฐบาลแต่ละยุคนำออกมาเอาใจประชาชน ซึ่งดูจะไม่คุ้มค่าต่อการใช้จ่ายงบประมาณ ยิ่งในภาวะปัจจุบันซึ่งประเทศไทยมีหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มสูงขึ้นถึง 42% จากเดิมที่ไทยมีหนี้สาธารณะต่อจีดีพี อยู่ที่ 5% เท่านั้น ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้หนี้สาธารณะของไทยเพิ่มขึ้นก็คือนโยบายประชานิยม โดยเฉพาะนโยบายรับจำนำข้าวในสมัยของรัฐบาลเพื่อไทยที่ทำให้รัฐบาลสูญเสียเงินมหาศาล

นโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ที่ดร.อานนท์ หยิบยกมาให้ดูนี้ก็เพื่อเตือนสติว่า ประชาชนควรใช้วิจารณญาณก่อนการไปลงคะแนนว่า ที่นักการเมืองออกมาโฆษณาหาเสียงนั้น จะทำได้จริงหรือไม่ และที่สำคัญประชาชนก็ไม่ควรเสพติด”ประชานิยม”จนมากเกินไป ตัวอย่างก็มีให้เห็นแล้วอย่าง”เวเนซูเอลลา”นั่นไง ส่วนคำถามที่ว่า “แล้วจะเลือกพรรคไหนดี”อันนี้ต้องแล้วแต่ท่านผู้ชมแล้วล่ะ!!

ทีมข่าวลึกทันใจ รายงาน
กำลังโหลดความคิดเห็น