xs
xsm
sm
md
lg

ลึกทันใจ : ลุงตู่-ทักษิณ ต่างกันตรงไหน?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รายงานพิเศษ ลึกทันใจ ตอน ลุงตู่-ทักษิณ ต่างกันตรงไหน? ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม NEWS1 วันพุธที่ 16 พฤษภาคม 2561



นโยบายและสิ่งที่รัฐบาลคสช.ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ ลุงตู่ ที่ดูแล้วช่างเหมือนกับในสมัยของนายทักษิณ ชินวัตร อย่างไม่มีผิดเพี้ยน ทั้งที่ต่างอยู่กันคนละขั้ว เรื่องแรกคือประชานิยมหว่านงบประมาณที่ทักษิณได้ริเริ่มจนสามารถโกยคะแนนจากประชาชนได้อย่างล้นหลาม เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค โครงการพักชำระหนี้ให้เกษตรกร เป็นต้น ส่วนของด้านรัฐบาลลุงตู่ ก็มาในรูปแบบการแจกเงินให้คนจน ภายใต้ชื่อโครงการ “สวัสดิการแห่งรัฐ” เมื่อปี 2559 โดยให้เงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ยากไร้และคนจนในเมือง จำนวน 8.3 ล้านราย วงเงินรวม 19,290 ล้านบาท ตามด้วยโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือที่เรียกกันว่า “บัตรคนจน” ที่เปิดให้ผู้มีรายได้น้อยทำบัตรใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้าถึงสองรอบด้วยกัน ซึ่งโครงการนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการหว่านเงินหาเสียงล่วงหน้าซึ่งก็สามารถเรียกคะแนนนิยมจากประชาชนได้ไม่น้อย

ส่วนอีก 1 ความเหมือนก็คือครม.สัญจร ในสมัยของทักษิณ ที่มักจะไปพร้อมกับโครงการวาดฝันว่าจะพัฒนาจังหวัดต่างๆ และที่ขาดไม่ได้ก็คือต้องทำกิจกรรมร่วมกับประชาชนเพื่อออกเป็นข่าวหน้าหนึ่ง จนกลายเป็นอีเวนต์ทางการเมืองไปแล้ว พอหันมาดูลุงตู่ เมื่อตอนประชุม ครม.สัญจรที่ จ.พิษณุโลก-สุโขทัย เมื่อวันที่ 25-26 ธ.ค. 2560 และที่จ.สุรินทร์-บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 7-8 พ.ค. 2561 ที่ผ่านมา พร้อมอภิมหาโปรเจกต์ เพื่อพิจารณา 121 โครงการ ในวงเงินงบประมาณ 20,706 ล้านบาท ดูยังไงๆ ก็เหมือนกันอย่างไม่มีอะไรผิดเพี้ยน

ส่วนเรื่องอภิมหาคอร์รัปชัน เป็นที่ทราบกันดีว่ายุคทักษิณนั้น ได้รับการขนานนามว่าเป็นรัฐบาลอภิมหาคอร์รัปชันทั้งการซื้อ-ขายที่ดินรัชดาอันอื้อฉาว, การทุจริตในการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยให้แก่กลุ่มกฤษดามหานคร, การออกกฎหมายแก้ไขค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือ-ดาวเทียมเป็นภาษีสรรพสามิต เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทชินคอร์ป เป็นต้น

ขณะที่ข้อกล่าวหาเรื่องทุจริตยุครัฐบาลลุงตู่ก็มีไม่น้อยเช่นกัน ทั้งการจัดซื้อไมโครโฟนไฮเทค ในห้องประชุมตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โครงการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีปัญหาการใช้งบประมาณที่ไม่โปร่งใส สร้างความเสียหายกว่า 176 ล้านบาท ความไม่ชอบมาพากลในการจัดซื้อเรือดำน้ำ Yuan Class S26T จากจีน การทุจริตในการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ซึ่งมีข้อครหากรณีการปรับเพิ่มงบประมาณในโครงการติดตั้งระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ไอซีที ที่สร้างความเสียหายไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท และโครงการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน วงเงินงบประมาณ 4,261 ล้านบาท สร้างความเสียหายทั้งจากการจัดซื้อในราคาที่น่าจะสูงเกินจริง และความเสียหายจากการถูกฟ้องร้อง เป็นมูลค่ารวมถึง 1,561 ล้านบาท

และเรื่องที่กำลังเป็นข่าวฮือฮาตอนนี้ก็คือเรื่องพลังดูด สร้างฐานอำนาจทางการเมือง ในอดีตทักษิณได้ใช้วิธีทาบทามและควบรวมบรรดานักการเมืองจากพรรคต่างๆ ให้เข้ามาอยู่ในเครือข่ายเพื่อขยายฐานอำนาจ โดยมีเป้าหมายเพื่อครองเสียงข้างมากในสภา โดยการก่อตั้งพรรคไทยรักไทย นายทักษิณได้ใช้วิธีซื้อตัวนักการเมืองหน้าเก่าจากพรรคต่างๆ ซึ่งถูกเรียกขานว่าเป็นการ “ตกเขียว” ทำให้กลุ่มการเมืองย้ายเข้าซบพรรคไทยรักไทยเป็นจำนวนมากจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้

ขณะที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่ประกาศตัวว่าจะเข้าสู่สนามการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้าก็สร้างปรากฏการณ์ “พลังดูด” เพื่อผนึกกำลังสร้างฐานอำนาจทางการเมืองไม่ต่างจากยุคทักษิณ โดยลุงตู่มีทีมงานระดับผู้ใหญ่ที่ใช้กำลังภายในเดินเกมเจรจาเพื่อดูดนักการเมืองจากพรรคต่างๆ มาร่วมสังกัดพรรคที่ตั้งขึ้นใหม่ มีเป้าหมายเพื่อขึ้นเป็นนายกฯ ดังเช่น กลุ่มของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือกรณีที่ปรากฏข่าวว่านายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มวังน้ำยม เตรียมโบกมือลาพรรคเพื่อไทยมาซบไหล่พรรคทหาร

นอกจากนั้นลุงตู่ยังเดินสายพบปะเจรจากับบรรดาหัวหน้าพรรคขนาดกลางเพื่อสร้างเครือข่ายแนวร่วมที่จะจับมือกันจัดตั้งรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งหน้า ทั้งพรรคชาติไทยพัฒนา หรือพรรคภูมิใจไทย รวมทั้งกลุ่มชลบุรี ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ดูจะเป็นการซื้อใจและให้สัญญาว่าจะทำงานร่วมกันในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
ซึ่งอาจารย์คมสัน โพธิ์คง รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ชี้ว่า สาเหตุที่โมเดลในการสร้างฐานอำนาจของรัฐบาลคสช.ช่างเหมือนกับรัฐบาลทักษิณราวกับพิมพ์เดียวกัน ก็เพราะบุคลากรระดับต้นๆ บางคนในรัฐบาลนี้ก็คือคนเดียวกับที่ทำงานให้รัฐบาลทักษิณนั่นเอง ส่วนปลายทางจะเหมือนทักษิณหรือไม่ อันนี้ต้องติดตาม!!

ทีมข่าวลึกทันใจ รายงาน
กำลังโหลดความคิดเห็น