รายงานพิเศษ ลึกทันใจ ตอน ภาษีที่ดินโหด ร.ร.เอกชนตายหมู่!! ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม NEWS1 วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2560
ในขณะที่ร่างกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการอยู่นี้ ล่าสุด สมาคมสภาการศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ได้ทำหนังสือถึงประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อชี้แจงถึงผลกระทบจากร่างกฏหมายฉบับนี้ เพราะหากประกาศออกมาใช้จริง ๆ โรงเรียนเอกชนก็ต้องแบกรับภาระที่ต้องถูกจัดเก็บภาษีในอัตราการใช้ประโยชน์ด้านอื่น ๆ ซึ่งมีอัตราการชำระภาษีสูงกว่าอัตราเดิมที่ชำระอยู่ในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย จะต้องเสียภาษีสูงกว่าเดิมประมาณ 140 เท่า และถ้าต้องเสียในอัตราที่ลดให้ร้อยละ 90 ก็ยังต้องเสียภาษีสูงกว่าเดิมประมาณ 14 เท่าหรือ1,400 % เลยทีเดียว ยกตัวเลขมาให้ดูกันจะ ๆ คือ มาแตร์ฯ มีมูลค่าที่ดินประเมิน 3,700 กว่าล้านบาท มูลค่าสิ่งปลูกสร้างประเมิน 93 ล้านบาทเศษ มีมูลค่าทรัพย์สินรวม 3,822 ล้านบาทเศษ หากเสียภาษีกฎหมายฉบับใหม่ จะต้องจ่ายภาษี ถึงกว่า 45 ล้านบาท แต่กฎหมายนี้ให้อำนาจลดได้ถึงร้อยละ 90 ก็ยังคงต้องจ่าย 4 ล้าน 5 แสนบาท ทั้งที่ปัจจุบันมาแตร์จ่ายเพียง 3 แสน 5 หมื่นบาทเท่านั้น หรือ โรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชา จังหวัดชลบุรี จะต้องเสียภาษีสูงกว่าเดิมประมาณ 88 เท่า และถ้าต้องเสียในอัตราที่ลดให้ร้อยละ 90 ก็ยังต้องเสียภาษีสูงกว่าเดิมประมาณ 8.8 เท่า นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่ยกมาให้ดูกันอย่างชัด ๆ เท่านั้น ยังมีโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศที่ต้องได้รับผลกระทบจากกฎหมายฉบับนี้เช่นกัน เพียงแต่ตัวเลขภาษีจะลดหลั่นกันไปตามมูลค่าของทรัพย์สินของแต่ละแห่ง
ทั้งนี้ สมาคมสภาการศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย เข้าใจดีว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ มีแนวคิดที่ดีในการใช้มาตรการทางภาษีเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและการกระจุกตัวของการถือครองที่ดิน แต่มันก็จะสร้างผลกระทบต่อโรงเรียนเอกชนอย่างมาก เพราะเป็นอัตราที่สูงกว่าเดิมมากทั้งที่โรงเรียนเอกชนได้ช่วยรัฐในการจัดการศึกษา แต่เมื่อมีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสีย โดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้เกิดความไม่เสมอภาคในเรื่องการจัดการศึกษา ระหว่างโรงเรียนเอกชน และโรงเรียนของรัฐที่ไม่ต้องมีภาระในการเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำมากขึ้น
ดังนั้น หากไม่มีการปรับแก้อัตราภาษีในร่างกฎหมายภาษีที่ดินฯ ฉบับนี้ โรงเรียนเอกชนทั่วประเทศจะได้รับผลกระทบจากกฎหมายนี้อย่างมาก เพราะที่ผ่านมาจำนวนนักเรียนในโรงเรียนรัฐและเอกชนก็มีอัตราการเข้าเรียนน้อยลงตามอัตราการเกิดของจำนวนประชากรอยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้โรงเรียนเอกชนก็พยายามอย่างยิ่งที่จะแก้ปัญหาของโรงเรียนเองโดยไม่ไปขึ้นค่าเทอม ซึ่งจะเป็นภาระของผู้ปกครอง
แต่ถ้าโรงเรียนเอกชนจะต้องเสียภาษีที่มีอัตราสูงขึ้นกว่าเดิมเป็นหลายเท่าตัวก็คงได้เห็นโรงเรียนที่แบกภาระไม่ไหวต้องปิดตัวเอง โดยเฉพาะโรงเรียนที่อยู่ในเขตพื้นที่ที่มีราคาประเมินที่ดินในอัตราสูง
ส่วนโรงเรียนเอกชนที่ยังอยู่ได้ ก็ต้องปรับขึ้นค่าเทอม และอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เพื่อนำรายได้ไปจ่ายภาษีที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ปกครองโดยตรง
ทีมข่าวลึกทันใจไม่ได้เข้าข้างหรือต้องการปกป้องโรงเรียนเอกชน แต่เห็นว่า หากกฎหมายฉบับนี้มีผลประกาศใช้ออกมาจริงๆ แล้ว จะต้องมีคนที่ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง หรือเรียกว่าเดือดร้อนกันทั่วหน้านั่นเอง ฝากคณะกรรมาธิการไว้ตรงนี้ด้วย
ทีมข่าวลึกทันใจ รายงาน