รายงานพิเศษ ลึกทันใจ ตอน แฉกลโกงนำเข้าซุปเปอร์คาร์เลี่ยงภาษี 2 หมื่นล้าน!! ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม NEWS1 วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม 2560
เศรษฐกิจของประเทศต้องเสียหายจากปัญหาการนำเข้ารถหรูในลักษณะของรถจดประกอบเพื่อหลบเลี่ยงภาษีนับเป็นมูลค่าสูงถึงปีละกว่า 2 หมื่นล้านบาทเป็นอย่างน้อย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ประเภทซูเปอร์คาร์ อาทิ เฟอร์รารี ปอร์เช่ จากัวร์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ลัมบอร์กินี โดยมีลูกค้าเป็นคนมีฐานะ ดารา หรือ กลุ่มที่นิยมของหรู แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกรมสอบสวนคดีพิเศษ และกรมศุลกากรจะพยายามปราบปรามอย่างเข้มข้นเพียงใด ปัญหานี้ก็ยังมีให้เห็นกันเรื่อย ๆ
จากข้อมูลล่าสุดระบุว่ามีรถจดประกอบที่กรมศุลกากรส่งเรื่องให้ดีเอสไอตรวจสอบมากถึงกว่า 7,000 คัน พันตำรวจเอกทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีบริษัทที่นำเข้ารถหรูเป็นร้อยบริษัท และมีจำนวนไม่น้อยที่ดำเนินการในลักษณะรถจดประกอบเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี โดยจะสวมเอกสารว่าเป็นรถมือสอง แยกชิ้นส่วนเข้ามา แล้วนำมาประกอบใหม่ในไทย ในรูปแบบของรถจดประกอบ เพื่อให้จ่ายภาษีในอัตราที่ต่ำลง ซึ่งทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้จำนวนมหาศาล กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงจำเป็นต้องเร่งตรวจสอบและดำเนินคดีอย่างจริงจังสำหรับวิธีการในการหลบเลี่ยงภาษี บริษัทที่นำเข้าจะรับออเดอร์จากผู้ซื้อ แล้วก็นำเข้ามา โดยจะต้องสำแดงให้ “ศุลกากร” เห็นว่ารถยนต์ที่นำเข้ามานั้นมาแบบเป็นชิ้นส่วน เพราะหากนำเข้ามาทั้งคันจะถือว่าเป็น “รถนำเข้า” จะมีอัตราภาษีแตกต่างกันมาก แต่ถ้านำเข้าโครงตัวรถเพื่อประกอบเป็นรถจดประกอบจะเสียภาษีศุลกากรในการนำเข้าชิ้นส่วนตัวถังเพียง 30% ซึ่งการจะนำรถมาขอจดทะเบียน ต้องมีเอกสารที่เสียภาษีศุลกากร แสดงชื้นส่วนเครื่องยนต์และตัวถัง เมื่อได้รับใบอนุญาตแล้ว ต้องหาโรงงานประกอบรถที่ได้รับอนุญาตจากกรมสรรพสามิตเพื่อประกอบรถให้เป็นคัน จากนั้นก็ต้องนำไปจดทะเบียนเป็นรถจดประกอบที่ “กรมการขนส่งทางบก” และนำไปเสียภาษีสรรพสามิตเหมือนรถป้ายแดง โดย “กรมสรรพสามิต” จะประเมินราคาว่า รถรุ่นไหน เครื่องยนต์ขนาดใด เสียภาษีเท่าไหร่ จากข้อมูลกรมสรรพสามิตระบุว่า รถที่มีเครื่องยนต์ไม่เกิน 2,800 ซีซี เสียภาษี 30% จากราคาประเมิน รถที่มีเครื่องยนต์เกิน 2,800 ซีซี เสียภาษี 50% ของราคาประเมิน แต่หากนำเข้ารถหรูทั้งคัน จะต้องเสียภาษี “รถนำเข้า” ถึง 300% ของราคารถเลยทีเดียว
พันตำรวจเอกทรงศักดิ์ ชี้ให้เห็นว่า ในแวดวงนี้จะเรียกกันว่า Grey Market หรือตลาดสีเทา โดยบริษัทจะรับออเดอร์จากลูกค้า จากนั้นก็นำเข้ารถพร้อมประสานกับบริษัทที่ทำธุรกิจจดประกอบรถยนต์ มาทำหน้าที่เดินเรื่องทำเอกสารรับรองว่ารถนี้เป็นรถจดประกอบ ประสานกับเจ้าหน้าที่รัฐที่อำนวยความสะดวก เป็นการสมรู้ร่วมคิดระหว่างผู้ซื้อ ผู้นำเข้า และเจ้าหน้าที่รัฐ ปัจจุบันบริษัทที่ทำธุรกิจลักษณะนี้มีรายใหญ่ๆ อยู่ประมาณ 20 ราย ซึ่งมักมีคนมีสีเข้าไปเกี่ยวข้อง บ้างก็เป็นที่ปรึกษา บ้างก็เข้าไปถือหุ้น พวกนี้ก็จะใช้บารมีและคอนเนกชันในการเคลียร์เส้นทาง เคลียร์คดี แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่เข้าไปเป็นกรรมการเพื่อกินเงินเดือนหรือรับเบี้ยประชุมแต่ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการกระทำที่ผิดกฎหมาย ถูกเอาชื่อไปอ้าง”
สำหรับกรณีรถหรูที่ดีเอสไอดำเนินการมีอยู่ 2 ส่วนคือส่วนที่อยู่ระหว่างดำเนินคดีมี 58 คดี เป็นคดีที่สิ้นสุดแล้ว 6 คดี รวมถึงคดีของสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำด้วย ส่วนอีก 52 คดี อยู่ระหว่างการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นรถที่มีการนำเข้าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่และอีกส่วนคืออยู่ระหว่างตรวจสอบ 7,000 กว่าคันว่าในจำนวนนี้มีรถจดประกอบจริงกี่คัน รถที่แจ้งเท็จกี่คัน ถ้าพบว่ามีปัญหาก็อาจจะมีการอายัดรถและจัดการตามกฎหมายต่อไป
ทีมข่าวลึกทันใจเห็นว่า ตราบใดที่ขบวนการเหล่านี้ยังร่วมกันหากินอย่างเป็นล่ำเป็นสันโดยมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปร่วมด้วยช่วยกัน ก็ไม่มีวันที่จะจัดการให้ปัญหานี้หมดไปได้ เพราะฉะนั้นถึงเวลาที่ต้อง”ล้างบาง”กันเสียที ถือเป็นการทำบุญครั้งใหญ่ให้ประเทศก็แล้วกัน
ทีมข่าวลึกทันใจ รายงาน