นางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (บลจ.กรุงศรี) เปิดเผยว่า Private Credit เป็นสินทรัพย์น่าลงทุน จากอัตราการเติบโตสูง มีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้รูปแบบเดิม และไม่ผันผวนไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นและตราสารหนี้ในตลาด ล่าสุดบริษัทจึงเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรี Private Credit-ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (KFPCD-UI) เสนอขายครั้งแรกตั้งแต่วันนี้ถึง 9 ก.ค. 67 ลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ 100,000 บาท
“Private Credit เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เข้ามาตอบโจทย์โอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดี โดย Private Credit เป็นตราสารหนี้นอกตลาดที่เป็นแหล่งเงินทุนให้กู้แก่บริษัทเอกชน โดยผู้ให้กู้คือนักลงทุนที่ไม่ใช่ธนาคารหรือสถาบันการเงิน ผู้ให้กู้จะได้รับดอกเบี้ยซึ่งมักจะสูงกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารทั่วไป รวมทั้งมีการเรียกหลักประกันและกำหนดเงื่อนไขเพื่อป้องกันความเสี่ยงอีกด้วย จึงมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่มากกว่า
นอกจากนี้ Private Credit ยังช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตการลงทุนโดยรวมได้ดีกว่าโดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง เนื่องจากมีโอกาสสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอจากดอกเบี้ยที่ได้รับ และผลตอบแทนไม่ได้มีแนวโน้มที่จะผันผวนไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นหรือตราสารหนี้ ทั้งนี้ ตลาด Private Credit ได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นและมีการเติบโตขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับการปล่อยกู้ของธนาคารสหรัฐฯ โดยขนาดของตลาด Private Credit เติบโตมากกว่า 2 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา” (ที่มา : BlackRock 30 ก.ย. 64)
“บลจ.กรุงศรีมองว่าเป็นจังหวะดีของการลงทุนใน Private Credit จึงได้เปิดเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรี Private Credit-ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (KFPCD-UI) ซึ่งบริหารโดย BlackRock ผู้จัดการกองทุนระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญในตลาด Private Credit มีประสบการณ์ที่ยาวนานกว่า 23 ปี มีเงินลงทุนมากกว่า 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ที่มา : BlackRock 31 ธ.ค. 66) โดยกองทุน KFPCD-UI มีนโยบายลงทุนในกองทุนอ้างอิงชื่อ BlackRock Private Credit Fund (Institutional Shares) มีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่เหนือกว่าตราสารหนี้ในตลาดจดทะเบียนและมุ่งสร้างกระแสเงินสดรับที่สม่ำเสมอ โดยใช้กลยุทธ์แบบ Direct Lending คือการปล่อยกู้ทางตรง เน้นการปล่อยกู้ให้กับบริษัทขนาดกลาง (Core Middle Market) ซึ่งมีสัดส่วนการก่อหนี้ที่ต่ำกว่าบริษัทขนาดใหญ่ และเป็นบริษัทที่มีมูลค่ากิจการประมาณ 100 เหรียญถึง 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ มีการกระจายการลงทุนในหลากหลายบริษัทในอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่วัฏจักร (Non-cyclical) คือบริษัทที่มีแนวโน้มจะดำเนินธุรกิจได้ดีได้รับผลกระทบในระดับต่ำจากการเปลี่ยนแปลงของวัฏจักรเศรษฐกิจ เช่น Healthcare, Tech/Software, Business Services เป็นต้น รวมทั้งกระจายการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีรายได้และผลกำไรสม่ำเสมอ”
“สำหรับกลยุทธ์ Direct Lending นั้น ผู้ปล่อยกู้จะมีอำนาจต่อรองที่สูง สามารถกำหนดเงื่อนไขต่างๆ เพื่อปกป้องผู้ลงทุนได้ดีกว่า มีข้อกำหนดด้านการเงินที่เข้มงวดส่งผลให้มีการผิดนัดชำระหนี้ที่ต่ำกว่าและอัตราการได้รับชำระคืนเมื่อเกิดการผิดนัดชำระหนี้ที่สูงกว่า นอกจากนี้ Direct Lending ยังช่วยกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้กับพอร์ตจากการใช้อัตราดอกเบี้ยลอยตัวทำให้ได้รับผลกระทบที่จำกัดจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ กองทุนอ้างอิงมีการลงทุนทั้งหมดในบริษัทที่มีสินทรัพย์ค้ำประกันและส่วนใหญ่จะมีสิทธิเรียกร้องชำระหนี้คืนเป็นลำดับแรกด้วย”
“บลจ.กรุงศรีเชื่อมั่นว่าการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกองทุน KFPCD-UI เป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนรายใหญ่ กับการลงทุนในสินทรัพย์กลุ่ม Private Credit เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าตราสารหนี้ทั่วไป และช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตการลงทุนโดยรวมในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนได้” นางสุภาพรกล่าว