นางสาวนิสารัตน์ ชมภูพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ดาโอ จำกัด หรือ บลจ.ดาโอ (DAOL INVESTMENT MANAGEMENT) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจจากการเติบโตและศักยภาพของเศรษฐกิจไทยที่เติบโตโดดเด่นกว่าประเทศอื่นในปีนี้ คาดว่า GDP ไทย ในปี 2566 จะเติบโตที่ระดับ 3.6% และคาดการณ์ว่าจะเติบโตเป็น 3.8% ในปี 2567 (ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย, พฤษภาคม 2566) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่คาดว่าจะเข้ามาเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ตามมาด้วยแรงหนุนจากการบริโภคภาคเอกชน
ขณะเดียวกัน หลังวิกฤต Covid-19 และปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ พบว่าต่างชาติย้ายฐานการผลิต (Relocation) มากขึ้น ส่งผลให้ประเทศไทยมีเงินลงทุนจาก FDI ในปี 2022 สูงถึงหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ มีสัดส่วนจากการเข้ามาลงทุนของจีนมากที่สุด โดยเฉพาะธุรกิจกลุ่ม Data center, สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ และรถยนต์ EV ซึ่งประเทศไทยเองมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ รวมถึงมีนโยบายสนับสนุนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนให้ประเทศไทยมีความพร้อมและความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นในการรองรับการย้ายฐานการผลิต (ที่มา: BOI, 2022)
นอกจากนี้ เรื่องอัตราเงินเฟ้อของไทยก็ไม่ได้เป็นปัจจัยกดดันเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยล่าสุดเดือนพฤษภาคม 2566 อยู่ที่ 2.67% จากราคาพลังงานและอาหารที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงซึ่งเป็นการลดลงเข้าสู่กรอบเป้าหมาย จึงทำให้นโยบายการเงินของไทยผ่อนคลายกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น (ที่มา: กระทรวงพาณิชย์ คำนวณและประมาณการโดย ธปท., พฤษภาคม 2566) แม้การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก มีโอกาสในการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมถึงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์จะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อตลาด แต่เมื่อพิจารณาจากการเติบโตอัตรากำไรของบริษัทจดทะเบียนในไทยปี 2566 ที่คาดว่าโตได้ 6.9% และปี 2567 ที่คาดว่าเติบโตได้ 13% และปัจจัยเชิงมหภาคของเศรษฐกิจไทย รวมทั้งระดับราคาของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ระดับ 15.32 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังในอดีตในรอบ 5 ปี ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหุ้นบางกลุ่มที่มีพื้นฐานการเติบโตอย่างมีคุณภาพ
บลจ.ดาโอจึงเปิดเสนอขาย IPO กองทุนเปิด ดาโอ ไทย ออพพอร์ทูนิตี้ (DTOP) 'มีความเสี่ยงระดับเสี่ยงสูง (ระดับ: 6) จะเปิดเสนอขายระหว่างวันที่ 22-28 มิ.ย. 2566 มีนโยบายลงทุนในหุ้นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ MAI โดยใช้กลยุทธ์แบบ Dynamic-Active เน้นคัดเลือกหลักทรัพย์คุณภาพดี มีโอกาสเติบโตที่สูง ที่ผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพและปริมาณทั้ง Top-down และ Bottom-up Approach จากทีมผู้จัดการกองทุนของบริษัท
ทั้งนี้ แนวทางการบริหารพอร์ตการลงทุนของทีมจะเน้นปรับพอร์ตลงทุนตามความเหมาะสมของสถานการณ์เศรษฐกิจและสภาวะตลาด และสามารถใช้ SET50 Index Futures เพื่อลดความเสี่ยงของตลาด (Hedging) หรือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารกองทุน (Efficient portfolio management) ให้เหมาะกับสภาวะในแต่ละช่วง กองทุนจะจัดสรรพอร์ตลงทุนหลัก (Core Port) แบบระยะยาวประมาณ 65-75% และแสวงหาโอกาสในการลงทุนระยะสั้นประมาณ 25-35%
“ด้วยแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสำคัญทั่วโลก ที่กำลังจะถึงจุดสูงสุด อีกทั้งเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง และแนวโน้มของกำไรบริษัทจดทะเบียนที่เริ่มหยุดปรับประมาณการลง ทำให้การลงทุนในหุ้นไทยในธีมที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเปิดประเทศ เช่น กลุ่มธนาคาร ค้าปลีก โรงแรม นิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น ทำให้มีความน่าสนใจ และมองเป้าดัชนี SET index สิ้นปีนี้อยู่ที่ 1,680 จุด กองทุนเปิด DTOP จึงเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นดีมีศักยภาพของไทยในปีนี้” คุณนิสารัตน์กล่าว