xs
xsm
sm
md
lg

‘จิตตะ เวลธ์’ ชวนคว้าหุ้นโลกวันนี้ ชี้ทุกการลงทุนมี ‘ฤกษ์ที่ดี’ คือ ‘เลิกรอ’

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บลจ.จิตตะ เวลธ์ เตือนนักลงทุนอย่าเสียเวลาจับจังหวะการลงทุน เพราะทุกนาทีที่ผ่านไปล้วนมีต้นทุนค่าเสียโอกาส ย้ำ ‘ฤกษ์ที่ดี’ คือ ‘เลิกรอ’ หลังประเมินตลาดโลกปี 66 โอกาสลงทุนกระจายตัว แนะนักลงทุนช่วงชิงความได้เปรียบจากทุกมุมโลก ทั้งตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ ที่จะได้อานิสงส์จากอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มทรงตัว ขณะที่จีนเปิดประเทศจะหนุนเศรษฐกิจเอเชียให้ฟื้นได้ รวมถึงหุ้นไทยที่จะได้รับแรงหนุนจากการเลือกตั้งด้วย เหมาะที่จะเข้าลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนอย่างมีเสถียรภาพ 
นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด (บลจ.) สตาร์ทอัพสัญชาติไทยที่มีจำนวนกองทุนส่วนบุคคลภายใต้การบริหารมากที่สุดในประเทศ เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปีนี้มีหลากปัจจัยกดดันตลาดการลงทุน ทำให้ราคาสินทรัพย์ปรับตัวลงทั่วโลก นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ดัชนี S&P500 ปรับลดลงมาแล้ว -14.39% ขณะที่ดัชนี CSI300 ของจีนปรับลดลง -22.01% ราคาสินทรัพย์ที่ร่วงลงทั่วโลกได้สร้างความกังวลให้แก่นักลงทุน จนไม่กล้าลงทุนต่อหรือรอคอยให้ตลาดลงต่ำสุดก่อน เพื่อหวังว่าจะเจอจังหวะที่ดีที่สุดในการเข้าลงทุน บางรายตัดใจเทขายหุ้นทิ้ง เพราะเกรงว่าราคาจะลงไปมากกว่าเดิม ซึ่งนั่นอาจจะทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปกว่าเดิม และทำให้นักลงทุนมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จึงแนะนำว่าการลงทุนที่ดีที่สุดไม่จำเป็นต้องรอจับจังหวะที่ดีที่สุด เพราะเราจะไม่มีทางทายถูกได้ตลอดว่าจุดต่ำสุดจะอยู่ที่จุดไหน ดังนั้น ‘ฤกษ์ที่ดีที่สุด’ สำหรับการลงทุนคือ ‘เลิกรอ’

“ตลาดหุ้นขาลงทั่วโลกในปีนี้ทำให้นักลงทุนลังเลใจ และมองหาจังหวะการลงทุนที่ดีที่สุด แต่รู้หรือไม่ว่าทุกนาทีที่ผ่านมาเรากำลังเผชิญกับต้นทุนค่าเสียโอกาส ในทางกลับกันหากยิ่งลงทุนเร็ว เงินก็มีโอกาสงอกเงยทำกำไรได้มากกว่าเพื่อชีวิตที่มั่งคั่งในอนาคต ดังนั้นฤกษ์ที่ดีคือ ‘เลิกรอ’ เพราะโอกาสในปีหน้ามาถึงแล้ว ตั้งแต่วันนี้”

ซีอีโอจิตตะ เวลธ์มองว่าในปีหน้าเศรษฐกิจโลกจะมีโอกาสลงทุนที่น่าสนใจที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม โดยในช่วงต้นปีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย หลังจากได้ปรับลงอย่างรุนแรงในปีนี้ จนตลาดคาดว่าในปี 2566 อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ระดับ 5.00-5.25% ซึ่งเป็นระดับที่สูงและอาจกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ ดังนั้นอาจจะเห็นเฟดส่งสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ยลงได้ในปลายปี 2566 ซึ่งจังหวะที่อัตราดอกเบี้ยทรงตัวและมีแนวโน้มปรับลดลง จะเป็นช่วงโอกาสทองของตลาดตราสารหนี้โดยเฉพาะพันธบัตรสหรัฐฯ และตราสารหนี้เอกชนที่มีคุณภาพหรือ Investment Grade ซึ่งนักลงทุนสามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนที่ดีและมีความมั่นคง

นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังมีแรงกดดันเรื่องเศรษฐกิจถดถอย (Recession) อยู่ ตลาดหุ้นในปีหน้าอาจจะไม่ได้หวือหวามากนัก แต่ยังมีหุ้นบางกลุ่มที่สามารถต่อสู้กับเงินเฟ้อและเศรษฐกิจถดถอยได้ อย่างหุ้นกลุ่มสุขภาพ (Health Care) หรือหุ้นเมกะเทรนด์อย่างกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับลดลงมามากในปีนี้ โดยตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2656 ดัชนี Nasdaq ปรับลดลงมาแล้ว -26.70% จึงเป็นโอกาสเหมาะที่จะเข้าลงทุนเพื่อรับเมกะเทรนด์ในอนาคต

ข้ามมาที่กลุ่มประเทศในเอเชีย จะเห็นไทม์ไลน์สำคัญอย่างการผ่อนคลายมาตรการ ZERO COVID ด้วยการเปิดประเทศของจีน ที่จะเป็นแรงหนุนสำคัญให้เศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัวได้ในภาพรวม ซึ่งคาดว่าจะเห็นการเปิดเมืองในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2566 ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงตลาดหุ้นจีนที่ปรับลดลงไปกว่า -22.01% ในปีนี้จะกลับมาผงาดได้อีกครั้ง และยังจะส่งอานิสงส์ไปถึงตลาดหุ้นทั่วโลกให้ฟื้นกลับมาได้ด้วย ดังนั้นนักลงทุนควรเริ่มสะสมหุ้นจีนตั้งแต่วันนี้ เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสการลงทุนครั้งใหญ่ได้

ในส่วนของตลาดหุ้นญี่ปุ่นและตลาดหุ้นไทยที่กำลังจะเริ่มฟื้นตัวหลังเปิดประเทศในปีนี้จะได้รับแรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นได้ในปีหน้า นอกจากนี้ ประเทศไทยเองยังจะมีประเด็นเรื่องการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปี 2566 จะเป็นแรงหนุนกำลังซื้อในประเทศให้ฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ เพราะการเลือกแต่ละครั้งย่อมมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบจำนวนมาก จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งตลาดหุ้นไทยและญี่ปุ่นถือเป็นแหล่งลงทุนที่มีเสถียรภาพ เหมาะที่จะนำมาสร้างสมดุลให้กับพอร์ตลงทุนได้

เขายังมองว่าตลาดหุ้นเวียดนามยังเป็นอีกตลาดที่นักลงทุนห้ามพลาด ด้วยราคาหุ้นที่ปรับลดลงตั้งแต่ต้นปีมาถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ปรับลดลงไปแล้ว -30.03% ทำให้ P/E Ratio อยู่ที่ 10.8 ถือว่าราคาค่อนข้างถูก เมื่อพิจารณาจากความต้องการลงทุนเพื่อย้ายฐานการผลิตด้วยค่าแรงต่ำ และประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมหาศาล จะทำให้เวียดนามมีเสน่ห์ และเป็นดาวเด่นได้ในระยะยาว

“จะเห็นได้ว่าในแต่ละช่วงเวลาของปี 2566 จะมีโอกาสการลงทุนที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก หากที่ผ่านมาเราเสียเวลาไปกับการรอ นั่นเท่ากับเรากำลังพลาดโอกาสที่เงินจะงอกเงย”

จิตตะ เวลธ์จึงช่วยให้นักลงทุนไม่พลาดโอกาสลงทุนทั้งในไทย และต่างประเทศได้ตั้งแต่วันนี้ ด้วยแผนการลงทุนที่หลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยงจากทั่วโลก ทั้งหุ้น หุ้นกู้ และพันธบัตรรัฐ พิเศษ! วันนี้หากลงทุนกับ Jitta Wealth ทุก 10,000 บาท รับเครดิตค่าธรรมเนียม 100 บาท สูงสุดถึง 100,000 บาท ตั้งแต่ 13-27 ธ.ค. 65 เท่านั้น กับ 3 นโยบายลงทุนดังนี้

1. Global ETF จัดพอร์ตตามทฤษฎีรางวัลโนเบลด้วย ETF หุ้นและตราสารหนี้ชั้นดีทั่วโลก เลือกลงทุนได้ตามความเสี่ยง  ผลตอบแทนคาดหวัง 4-8% ต่อปี ลงทุนเริ่มต้น 50,000 บาท
2. Thematic ลงทุนธีมเมกะเทรนด์ที่คุณเชื่อมั่น พร้อมเทคโนโลยีดูแลพอร์ตอัตโนมัติ ลงทุนเริ่มต้น 50,000 บาท
3. Jitta Ranking ลงทุน ‘หุ้นดี ราคาเหมาะสม’ แบบอัตโนมัติตามแนวคิด Warren Buffett  ลงทุนเริ่มต้น 500,000 บาท

“ยิ่งลงทุนเร็ว เงินก็มีโอกาสงอกเงยทำกำไรได้มากกว่า จิตตะ เวลธ์ จึงช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงโอกาสลงทุนทั่วโลกด้วยเงินไม่ถึงแสนก็สามารถลงทุนใน Passive ETF แบบคน ‘ฉลาดเลือก’ กับ Jitta wealth เพื่อปั้นพอร์ตลงทุนให้โตตามเทรนด์เศรษฐกิจโลก ด้วยเทคโนโลยีช่วยทำกำไรระยะยาวตามหลักการที่ถูกต้อง พร้อมระบบ Rebalance บริหารความเสี่ยงและจัดการพอร์ตอัตโนมัติ ทุกอย่างนี้มีมืออาชีพจัดการให้ด้วยค่าธรรมเนียมต่ำ เพื่อชีวิตที่มั่งคั่งในอนาคต”

สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://jitta.co/3lissyc หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LINE @JittaWealth  

 
 

 
กำลังโหลดความคิดเห็น