xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อ LTF ครบกำหนด..ควรถือต่อ หรือพอแค่นี้?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ช่วงต้นปีแบบนี้ผู้ลงทุนที่ถือกองทุนลดหย่อนภาษีอย่าง LTF มักเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ‘เมื่อ LTF ที่เราถืออยู่ครบกำหนดแล้ว เราควรถือต่อหรือขายคืนดีกว่ากัน?’ แต่ถ้าเรายังตัดสินใจไม่ได้ วันนี้เราลองมาฟุดฟิด for fund เรื่องนี้กันดูครับ

ก่อนอื่นเรามาทบทวนเกี่ยวกับกองทุน LTF กันสักเล็กน้อย กองทุน LTF คือกองทุนรวมหุ้นระยะยาว โดยผู้ที่ซื้อกองทุน LTF ในปี 2559 เป็นต้นไปจะเข้าเกณฑ์ใหม่ คือ ต้องถือครบ 7 ปีปฏิทิน ซึ่งจะครบกำหนดในปี 2565 นี้พอดี หากจะขายก็ไม่ผิดกฎเกณฑ์ แต่สามารถขายได้เฉพาะหน่วยที่ลงทุนในปี 2559 เท่านั้น ส่วนหน่วยลงทุนที่ซื้อในปีถัดๆ มาที่ยังไม่ครบกำหนดจะยังไม่สามารถขายได้ หากไม่แน่ใจว่าหน่วยลงทุนของเราครบกำหนดหรือยัง สามารถเช็กหน่วยลงทุนที่ครบอายุขายคืนผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ของ บลจ.ได้เลย

ส่วนผู้ที่มีกองทุน LTF ที่ครบกำหนดอยู่ในพอร์ตตอนนี้ อาจตั้งคำถามกับตัวเองก่อนว่าที่ผ่านมาเรามีความพึงพอใจกับผลการดำเนินงานของกองทุนหรือไม่ และในอนาคตเรามีแผนการลงทุนต่อไปอย่างไรบ้างเพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ทางเลือก ดังนี้

ทางเลือกที่ 1 ถือกองทุน LTF ที่ครบกำหนดต่อไป เพื่อโอกาสเติบโต
สำหรับผู้ที่ยังไม่ต้องการปรับเปลี่ยนแผนการลงทุน และมีความพึงพอใจกับผลการดำเนินงานของกองทุน รวมถึงมองเห็นศักยภาพของหุ้นไทยว่ามีแนวโน้มจะไปต่อได้ดี การถือกองทุน LTF ต่อไปก็ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ และมีโอกาสสร้างกำไรได้มากกว่าการขายคืน เพราะกองทุน LTF เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นไทยระยะยาว มีโอกาสเติบโตต่อไปได้

ทางเลือกที่ 2️ ต้องการปรับแผนการลงทุนใหม่
สำหรับผู้ที่ต้องการปรับแผนการลงทุนใหม่ ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่เมื่อกองทุน LTF ครบกำหนดก็สามารถขายคืน แล้วนำเงินมาลงทุนต่อในกองทุนลดหย่อนภาษีอย่าง SSF หรือ RMF ได้ เนื่องจากทั้ง 2 กองทุนนี้มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลายกว่า ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ผสมต่างประเทศ ฯลฯ โดยเราสามารถเลือกลงทุนให้เหมาะกับระดับความเสี่ยง และความสนใจได้ นอกจากนี้ ยังเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนได้มากขึ้นอีกด้วย ซึ่งการเลือกมาลงทุนต่อในกองทุน SSF หรือ RMF ถือเป็นการต่อยอดโอกาสสร้างผลตอบแทนให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังสามารถนำเงินที่ลงทุนไปลดหย่อนภาษีได้ตามเกณฑ์ของสรรพากร และเงื่อนไขทางภาษีของกองทุนในปีนั้นได้อีกด้วย

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร อย่าลืมศึกษาข้อมูลของแต่ละกองทุนให้ละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน พิจารณาความเสี่ยงในระดับที่เรารับได้ และวางแผนเป้าหมายการเงินเอาไว้เพื่อความมั่นคงในอนาคต เพื่อให้การลงทุนของเราเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
กำลังโหลดความคิดเห็น