นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ประสบความสำเร็จในการบริหารกองทุนทริกเกอร์ที่ลงทุนในหุ้นจีน คือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ China Trigger (SCBCHTG) ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนได้เกินเป้าหมายที่กำหนดไว้ภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือนเท่านั้น โดยกองทุนได้พิชิตเป้าหมายแรก 1 เดือนนับจากวันที่จดทะเบียนกองทุนเมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2564 ที่ผ่านมา
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังคงเชื่อมั่นในโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นจีน จึงได้เปิดเสนอขายกองทุนทริกเกอร์ต่อเนื่อง ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ China Trigger 2 (SCB China Trigger 2 Fund : SCBCHTG2) มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท เสนอขายเพียงครั้งเดียวระหว่างวันที่ 1 – 8 มิถุนายน 2564 นี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท โดยตั้งเป้าหมายทริกเกอร์ 7% ภายในระยะเวลา 7 เดือน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นจีนที่มีศักยภาพเติบโตสูง
“บริษัทฯ ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจจีน โดยคาดว่าตลาดหุ้นจีนจะโตขึ้นอีกอย่างต่อเนื่องในปี 2021 จากการควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19 ที่มีประสิทธิภาพและการฉีดวัคซีนของจีนมีความคืบหน้า ส่งผลให้ตัวเลขเศรษฐกิจจีนยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง รวมถึงปัจจุบันตลาดหุ้นจีนถูกกว่าตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว จึงมองว่าตลาดหุ้นจีนเป็นตลาดที่น่าสนใจลงทุนอีกประเทศหนึ่งในขณะนี้ สำหรับกองทุน SCBCHTG2 มีการเสริมกลยุทธ์การลงทุนด้วย Machine Learning ที่มีศักยภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลเหนือกว่าขีดความสามารถของมนุษย์ จึงช่วยให้การลงทุนในกองทุนนี้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลให้กองทุนถึงเป้าหมายได้ไม่ยากนักดังเช่นกองทุน SCBCHTG ที่ทะลุเป้าหมายในระยะเวลาเพียงแค่ 2 เดือน นอกจากนี้ กองทุนนี้ยังช่วยลดความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นด้วยการเปิดรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ 2 ครั้ง โดยไม่ต้องรอทริกเกอร์ครั้งเดียว” นางนันท์มนัส กล่าว
กองทุน SCBCHTG2 มีนโยบายลงทุนในตราสารและ/หรือหลักทรัพย์ที่ออกโดยบริษัทสัญชาติจีน และ/หรือดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับประเทศจีนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน อาทิเช่น กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มธุรกิจสินค้าบริโภค กลุ่มการแพทย์ และกลุ่มเทคโนโลยี เป็นต้น โดยมีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Factor Investing โดยใช้ Machine Learning ในการเลือกปัจจัยที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนให้เหนือตลาด ด้วยการคัดเลือกหลักทรัพย์รายตัวจากการวิเคราะห์เชิงปริมาณ พร้อมทั้งพิจารณาและรวบรวมข้อมูลมากกว่า 200 ปัจจัยย่อย โดยให้คะแนนตามลักษณะของหลักทรัพย์รายตัวในแต่ละปัจจัย และพิจารณาปัจจัยการลงทุนที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนเหนือตลาดด้วยการวิเคราะห์สภาพตลาด ปัจจัยพื้นฐาน และปัจจัยด้านเทคนิค เพื่อคาดการณ์ตลาดในอนาคต โดยทำการคัดเลือกและจัดสรรน้ำหนักหลักทรัพย์รายตัวตามคะแนนในแต่ละปัจจัยการลงทุน พอร์ตลงทุนประกอบไปด้วยหุ้นประมาณ 30 ตัว ที่ได้รับคะแนนสูงุสด โดยมีน้ำหนักรายตัวที่เท่ากัน (equal-weighted) ทั้งนี้ กองทุนจะเข้าทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedging) จากอัตราแลกเปลี่ยน (Foreign Exchange Rate Risk) ทั้งจำนวน
สำหรับเงื่อนไขการทริกเกอร์แบ่งเป็น 2 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 ในกรณีที่หาก ณ วันทำการใดก็ตามเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.35 บาทต่อหน่วย บริษัทจัดการจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติเพียงครั้งเดียวนับแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินของโครงการเป็นกองทุนรวม และครั้งที่ 2 ในกรณีเข้าเงื่อนไขการเลิกกองทุน โดยหาก ณ วันทำการใดก็ตามเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.72 บาทต่อหน่วย บริษัทจัดการจะพิจารณารับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติในอัตราไม่ต่ำกว่า 10.70 บาทต่อหน่วย ทั้งนี้ จะทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนภายใน 5 วันทำการนับแต่วันที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว และจะชำระเงินค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติภายใน 5 วันทำการนับแต่วันทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติ โดยบริษัทจัดการขอสงวนสิทธินำเงินไปลงทุนต่อยังกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ระยะสั้นหรือกองทุนรวมตลาดเงินอื่นที่อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทจัดการ
อย่างไรก็ตาม หากครบกำหนดระยะเวลา 7 เดือนนับแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินของโครงการเป็นกองทุนรวมแล้ว ไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้น บริษัทจัดการจะเปิดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถซื้อ/ขาย/สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการซื้อขายหน่วยลงทุนที่บริษัทจัดการกำหนด จนกว่าจะเข้าเงื่อนไขการเลิกกองตามเงื่อนไขที่ระบุไว้