นายสุรเดช เกียรติธนากร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทยจ่ายปันผลกองทุนเปิดเค ซูเปอร์สตาร์ เพื่อการออมพิเศษ (K-SUPSTAR-SSFX) สำหรับรอบผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน 2563 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564 ในอัตรา 0.40 บาทต่อหน่วย และกองทุนเปิดเค ญี่ปุ่น หุ้นทุน (K-JP) สำหรับรอบผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564 ในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย ทั้งนี้ มีกำหนดจ่ายปันผลทั้ง 2 กองทุนพร้อมกันในวันที่ 16 เมษายน 2564 รวมมูลค่าทั้งสิ้น 127.83 ล้านบาท
นายสุรเดชกล่าวต่อไปว่า กองทุน K-SUPSTAR-SSFX มีนโยบายที่เน้นลงทุนในหุ้นบริษัทชั้นนำของไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานดี สามารถเติบโตได้แม้ในยามที่เศรษฐกิจชะลอตัว (Quality Growth) ผ่านกลยุทธ์จับจังหวะซื้อขายหุ้นเพื่อหาโอกาสทำกำไรทั้งในระยะสั้นและยาว (Tactical Trade) โดยกลยุทธ์ดังกล่าวมีรูปแบบและหลักการเดียวกับที่ใช้บริหารกองทุน K-STAR-A(R) ซึ่งทำผลงานได้อย่างโดดเด่นจนได้รับการจัดอันดับ 5 ดาวจาก Morningstar ในประเภท Overall Rating (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 64)
ด้านกองทุน K-JP มีนโยบายที่เน้นลงทุนในหุ้นบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยกองทุนมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 4.89% ต่อปี และสามารถทำผลงานได้ดีติดอันดับ 4 ดาวจาก Morningstar ในประเภท Overall Rating (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 64) อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของญี่ปุ่นยังฟื้นตัวอย่างช้าๆ โดยได้รับแรงหนุนจากประเทศคู่ค้าเป็นหลัก ดังนั้น หากผู้ลงทุนสนใจกองทุน K-JP แนะนำให้ประเมินสถานการณ์ก่อนเข้าลงทุน ส่วนผู้ที่ลงทุนไว้อยู่แล้วแนะนำให้ถือต่อเพื่อรอประเมินสถานการณ์
“สำหรับมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยกดดันจากสถานการณ์ COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ที่ยังคงระบาดและมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงประเด็นอัตราเงินเฟ้อที่อาจมีการปรับตัวสูงกว่าที่คาดไว้ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากฐานที่ต่ำในปีที่แล้ว โดยระดับราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ได้มีการปรับตัวสูงขึ้นค่อนข้างมากจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ทำให้อาจมีความกังวลเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์ COVID-19 สายพันธุ์ใหม่คลี่คลายลงได้ คาดว่าตลาดจะมีทิศทางที่ดีขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และคาด SET Index ปลายปีน่าจะมีโอกาสแตะระดับ 1,650 จุด” นายสุรเดชกล่าว