นายวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนพรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในขณะนี้อยู่ในทิศทางฟื้นตัวโดยเฉพาะกลุ่มประเทศเกิดใหม่ในแถบเอเชียที่กำลังปรับตัวได้ดี โดยมีปัจจัยบวกได้แก่การนำวัคซีนมาใช้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและการฟื้นตัวของการค้าโลก ขณะที่ปัจจัยลบ ได้แก่ ความเสี่ยงที่ธนาคารกลางจะยกเลิกหรือออกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะถัดไป รวมถึงวิกฤตตราสารหนี้และความขัดแย้งทางการเมือง
“เมื่อเทียบกับวิกฤตซับไพรม์ วิกฤตครั้งนี้กระทบเศรษฐกิจแรงกว่าแต่ก็มีการฟื้นตัวที่เร็วกว่า อย่างไรก็ดีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในครั้งนี้จะอยู่ในอัตราเร่งที่ไม่เท่ากัน โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศคาดว่ากลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียนำโดยจีนและอินเดียจะฟื้นตัวดีกว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว สำหรับประเทศไทย ไอเอ็มเอฟคาดว่าอัตราการเติบโตของจีดีพีจะฟื้นจาก -7.1% ในปี 2020 เป็น +4% ในปี 2021 นับว่าเป็นอัตราการฟื้นตัวที่ช้ากว่าเพื่อนบ้านในอาเซียนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวียดนามที่คาดว่าจะโต 6.7%” นายวินกล่าว
ทั้งนี้ การลงทุนในตลาดหุ้นโลกช่วงปลายปี 2020 ถึงต้นปี 2021 ตลาดหุ้นทั่วโลกเป็นขาขึ้นรับข่าววัคซีน และจากสภาพคล่องที่ล้นระบบทำให้ราคาอยู่ในระดับตึงตัวแทบทุกตลาด โดยดัชนี MSCI AC World ปี 2021 มี Forward P/E ที่ 20 เท่า และเมื่อพิจารณาแล้วจะพบว่าตลาดหุ้นโลกอยู่ในระดับแพงที่สุดในรอบ 18 ปี
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในระยะกลางถึงยาวตลาดหุ้นโลกยังอยู่ในขาขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากการอัดฉีดเม็ดเงินคิวอีและการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ในระยะสั้นมีโอกาสที่จะผันผวนได้จากข่าวร้ายที่คาดไม่ถึง เช่น การออกจากมาตรการ QE หรือบอนด์ยิลด์ที่ปรับสูงขึ้นเร็วกว่าที่คาด โดยการลงทุนในหุ้นตลาดเกิดใหม่น่าจะมีโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีกว่าหุ้นสหรัฐฯ ขณะที่หุ้นในกลุ่มนวัตกรรม พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในระยะยาว
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้บริษัทคาดว่าดัชนีจะอยู่ในกรอบ 1,400 ถึง 1,650 จุด และมีความผันผวนในระยะสั้น ซึ่งนักลงทุนหากต้องการเข้าลงทุนเพิ่มแนะนำให้เข้าซื้อในช่วงที่ดัชนีมีการปรับตัวลดลงเนื่องจากราคาในปัจจุบันที่ P/E ประมาณ 18 เท่าถือว่าอยู่ในระดับค่อนข้างแพง โดยการลงทุนในหุ้นไทยปีนี้น่าจะได้รับปัจจัยบวกจากเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติที่กลับเข้ามาลงทุนในตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะเอเชียมากขึ้น และการที่เศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้นส่งผลให้รายได้ภาคการเกษตรฟื้นตัวการบริโภคในประเทศกลับมาดีขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นไทยยังคงได้รับแรงกดดันจากการระบาดของโควิดรอบใหม่ ความล่าช้าของการฉีดวัคซีน
“เศรษฐกิจไทยต่อจากนี้คาดว่าต้องใช้เวลาสองปีกว่าจะกลับมาจุดเดิม โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากหนี้ครัวเรือนและหนี้เสียของเอสเอ็มอี ส่วนการลงทุนในหุ้นไทยและหุ้นโลกต่อจากนี้ควรจะรอจังหวะที่หุ้นย่อตัวแล้วค่อยทยอยลงทุนเพิ่ม โดยหุ้นไทยกับหุ้นนอกยังไม่ต้องเพิ่มน้ำหนักลงทุน แต่น่าเพิ่มในรีทที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้ ขณะที่ทองคำดูไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไรต่อจากนี้” นายวินกล่าว
นายวินกล่าวอีกว่า การที่บริษัทให้น้ำหนักการลงทุนในกองทุนรีทที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น เนื่องจากตลาดรีทฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะช่วงปลายปี 2020 หลังมีข่าวดีเรื่องวัคซีนซึ่งเป็นผลบวกต่อกลุ่มค้าปลีกและกลุ่มโรงแรม แต่ในภาพรวมระดับราคากองรีทยังฟื้นตัวไม่เท่าตลาดหุ้นโลกจึงคาดว่ายังมีอัปไซด์คือมีโอกาสที่ตลาดจะฟื้นต่อไปได้อีกในปีนี้
นอกจากนี้ การระบาดรอบใหม่เป็นผลบวกต่อกลุ่มค้าปลีก ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยต่ำทั่วโลกจะทำให้กองรีทได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น ซึ่งคาดหวังโอกาสรับเงินปันผลเฉลี่ยประมาณ 3 ถึง 5% ต่อปีในช่วงปี 2021 ถึงปี 2023
สินทรัพย์ของกองทุนรีทที่น่าสนใจอยากให้นักลงทุนเน้นไปที่มีรายได้มั่นคงและได้รับผลกระทบจากโควิดน้อย ได้แก่ ดาต้าเซ็นเตอร์ โลจิสติกส์ อินฟราสตรักเจอร์ และควรมองหาโอกาสเพิ่มน้ำหนักลงทุนในกลุ่มที่น่าจะฟื้นตัวได้หลังล็อกดาว ประกอบด้วย กลุ่มค้าปลีก และโรงแรม โดยควรเน้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ มากกว่าประเทศไทย