นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า การดำเนินงานของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะมีเบี้ยรับใหม่เติบโตขึ้นในระดับ 8-10% ได้ และน่าจะเป็นปีที่เบี้ยรับรวมกลับมาเป็นบวกได้อีกครั้ง หลังจากติดลบไปในช่วงปี 2019 และ 2020 จากผลกระทบของเศรษฐกิจและอัตราผลตอบแทนจากดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งส่งผลให้บริษัททำการปรับเปลี่ยนการนำเสนอผลิตภัณฑ์แบบออมทรัพย์น้อยลงและหันมาเน้นการให้ความสำคัญต่อสินค้าด้านความคุ้มครองและสุขภาพมากขึ้น และน่าจะเป็นบวกมากขึ้นอีกใน 2 ปีข้างหน้า เนื่องจากผลิตภัณฑ์ออมทรัพย์มีมูลค่าสูงกว่าประเภทอื่นรวมกันถึง 10 เท่าจึงต้องใช้เวลาพอสมควร
“การทำธุรกิจประกันชีวิตต่อจากนี้จะต้องเน้นเรื่องความยั่งยืน เราต้องเตรียมความพร้อมทั้งในเรื่องของมาตรฐานและกฎหมายใหม่ที่จะตามมา ไม่ใช่ขายผลิตภัณฑ์ออมทรัพย์อย่างเดียวพอถึงเวลากลายเป็นระเบิดเวลาในกระเป๋า ตอนนี้ผมถือว่าหักดิบ เน้นไปเรื่องความคุ้มครองกับสุขภาพที่ต้องตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีออมทรัพย์เลยเพียงแต่น้อยลงมากและต้องดูให้ดีว่ามันไม่เป็นภาระให้เราภายหลัง” นายสาระกล่าว
ด้านผลการดำเนินงานของเมืองไทยประกันชีวิต ในปี 2563 มีอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับใหม่สำหรับผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตประเภทสัญญาเพิ่มเติมการประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง (Health & CI) อยู่ที่ 21% มีสัดส่วนการขายแบบประกันชีวิตประเภทคุ้มครองชีวิตและประกันชีวิตควบการลงทุน (Protection and Investment Linked Product Portion) สูงถึง 76% ขณะเดียวกันมีผลงานจากช่องทางการขายผ่าน Online Sales เติบโต 120% เมื่อเทียบกับปี 2562
ในด้านความแข็งแกร่งและด้านเสถียรภาพทางด้านการเงิน เมืองไทยประกันชีวิตได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Rating) จาก S&P Global Ratings อยู่ที่ระดับ BBB+ โดยแนวโน้มมีเสถียรภาพ และจากฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) อยู่ที่ ‘A-‘ โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ และคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศ (National IFS) ที่ ‘AAA(tha)’ โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ ซึ่งถือเป็นอันดับเครดิตในระดับประเทศที่สูงที่สุดแล้ว และยังมีความเพียงพอของเงินกองทุนอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งโดยสะท้อนจากอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนซึ่งอยู่ที่ 309% ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 ซึ่งสูงกว่าระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามเกณฑ์ที่ 120%
นายสาระกล่าวว่า สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2564 เมืองไทยประกันชีวิตมุ่งมั่นในการเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าให้ความวางใจ พร้อมดูแลและเดินเคียงข้างในทุกช่วงของชีวิต ภายใต้นโยบาย “MTL Trusted Lifetime Partner” ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ ช่องทางการขายที่หลากหลาย ผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุก Journey ในแบบที่มีความเฉพาะตัวของบุคคล (Personalization) มากยิ่งขึ้น ผ่านแพลตฟอร์ม Digital และ Non-digital ที่สามารถเข้าถึงความต้องการในทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมยกระดับองค์กรสู่ความเป็นสากล และโดดเด่นด้วยภาพลักษณ์องค์กรที่มีความทันสมัย เป็นมืออาชีพ ที่สามารถดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมงาน รวมทั้งการเดินหน้าการพัฒนาบุคลากรให้สามารถรับมือและปรับตัวให้เข้ากับโลกยุคดิจิทัลได้อย่างเต็มตัว พร้อมให้ความสำคัญต่อการขยายตลาดไปสู่ประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง (Regional Company)
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าทำการตลาดแบบหลากหลายช่องทาง (Multi Distribution Channels) ไม่ว่าจะเป็นช่องทางตัวแทนประกันชีวิต ช่องทางธนาคาร ช่องทางโบรกเกอร์ รวมไปถึงการขายประกันออนไลน์ที่เป็นแบบออนไลน์ทั้งระบบการขาย (Online E2E) หรือผสมผสานการขาย (Hybrid) นำกระบวนการขายแบบ Digital Face to Face หรือแบบ Face to Face เข้ามาอยู่ในกระบวนการขาย ที่ผสมผสานการเสนอขายผ่านช่องทาง Face to Face และ Digital Face to Face ด้วยมาตรฐานการเป็นตัวแทนประกันชีวิตที่มีความเป็นมืออาชีพ มุ่งสู่การเป็นผู้ออกแบบทางการเงิน (Life Planner) ที่สามารถออกแบบ ให้คำปรึกษา และวางแผนทางการเงินที่เหมาะสมแก่ลูกค้าแต่ละราย
“การดำเนินธุรกิจในปีนี้แม้ยังต้องเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลาย แต่เรายังคงมุ่งมั่นที่จะคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการให้ครบในทุกด้าน เพื่อตอกย้ำนโยบาย MTL Trusted Lifetime Partner สามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าในทุกเพศทุกวัย พร้อมเชื่อมต่อกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในแบบเฉพาะตัว” นายสาระกล่าว