นายสุรเดช เกียรติธนากร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า จากภาวะตลาดการลงทุนที่ทั่วโลกส่วนใหญ่ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับธนาคารกลางจากประเทศแกนหลักต่างอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเป็นจำนวนมากเพื่อรักษาสภาพคล่อง จึงเป็นปัจจัยหนุนต่อการเข้าลงทุนในหุ้น โดยเฉพาะหุ้นในต่างประเทศอย่างสหรัฐฯ และจีน เนื่องจากเป็น 2 ประเทศมหาอำนาจที่มีความแข็งแกร่ง และมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีต่อการเติบโตในอนาคต ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยจึงได้จัดตั้ง 2 กองทุน RMF น้องใหม่ ได้แก่ กองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (K-USA-RMF) และ กองทุนเปิดเค ไชน่า หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (K-CHINA-RMF) สำหรับเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุนได้เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว รวมถึงได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุนปลายปีนี้ โดยทั้ง 2 กองทุนมีกำหนดเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ในระหว่างวันที่ 24-30 พฤศจิกายน 2563
นายสุรเดชกล่าวต่อไปว่า กองทุน K-USA-RMF มีความน่าสนใจจากการเข้าลงทุนในหุ้นบริษัทชั้นนำระดับโลกในตลาดสหรัฐฯ ที่สอดรับกับกระแสยุคดิจิทัล ซึ่งมีโอกาสเติบโตสูงในระยะยาว โดยกองทุนจะลงทุนผ่านกองทุนหลัก Morgan Stanley Investment Funds US Advantage Fund - Z Shares เน้นลงทุนในหุ้นบริษัทที่มีศักยภาพสูงอย่าง Amazon, Twitter, Spotify, Shopify และ Square ซึ่งทีมบริหารกองทุนจะใช้กลยุทธ์ Bottom-up Approach ในการเลือกหุ้นเป็นรายตัว (Stock Selection) ทั้งนี้ กองทุนหลักสามารถทำผลงานได้ดี โดยใน 1 ปีที่ผ่านมามีผลการดำเนินงานอยู่ที่ 60.62% ต่อปี เอาชนะดัชนี S&P 500 ซึ่งอยู่ที่ 16.45% ต่อปี (Morningstar ณ วันที่ 18 พ.ย. 63)
สำหรับกองทุน K-CHINA-RMF มีความน่าสนใจจากการลงทุนในหุ้นจีนทุกชนิด (All China) ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ทั้งในประเทศ (เสิ่นเจิ้น, เซี่ยงไฮ้, ฮ่องกง) และต่างประเทศ (สหรัฐฯ, ไต้หวัน) ทำให้มีความยืดหยุ่นในการลงทุนสูง โดยกองทุนจะลงทุนผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Funds - China Fund, Class JPM China I (acc) - USD เน้นลงทุนในหุ้นจีนที่เติบโต (Growth) คุณภาพสูง (High Quality) และอยู่ในกลุ่มธุรกิจใหม่ (New Economy) เช่น Alibaba, Tencent และ Meituan-Dianping ทั้งนี้ กองทุนหลักบริหารโดยผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์มากกว่า 25 ปี และมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 64.18% ต่อปี เอาชนะดัชนี MSCI China 10/40 ซึ่งอยู่ที่ 35.42% ต่อปี (Morningstar ณ วันที่ 18 พ.ย. 63)
“แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 จะยังรุนแรงในสหรัฐฯ แต่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวได้ดี และเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้ โดยจะเห็นได้จากตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมามีพัฒนาการที่ดี GDP ไตรมาส 3 ปรับขึ้น 33.1% จากการบริโภคที่ฟื้นตัว และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Purchasing Managers’ Index : PMI) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สภาวะทางเศรษฐกิจของภาคการผลิตและบริการที่ยังอยู่เหนือระดับ 50 ได้หลายเดือนติดต่อกัน แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจขยายตัวจากยอดค้าปลีกที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางของสหรัฐฯ ส่งสัญญาณการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.00-0.25% ว่าจะคงที่ระดับนี้ไปจนถึงปี 2566 จึงทำให้สภาพคล่องที่ล้นระบบจะช่วยหนุนให้ตลาดยังสามารถไปต่อได้ ซึ่งเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในระยะยาว
สำหรับเศรษฐกิจของจีนมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและเร็วกว่าประเทศอื่น อันเป็นผลมาจากความสามารถในการควบคุมสถานการณ์โควิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับจีนได้หันมาเน้นการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก รวมถึงได้พัฒนาจากประเทศที่ผลิตสินค้าด้วยต้นทุนต่ำ (Old Economy) ไปสู่การผลิตสินค้าด้วยเทคโนโลยี (New Economy) ที่เน้นคุณภาพ และกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนถึงการเติบโตอย่างยั่งยืนของจีนในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนยังต้องจับตาความคืบหน้าของการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ภายใต้การนำของประธานาธิบดี โจ ไบเดน” นายสุรเดชกล่าว
นายสุรเดชกล่าวเพิ่มเติมว่า กองทุน K-USA-RMF และ K-CHINA-RMF เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาการลงทุนเพื่อวัยเกษียณ สามารถใช้ลดหย่อนภาษีในปีนี้ได้ และมองเห็นโอกาสจากการลงทุนในหุ้นของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน โดยเริ่มต้นลงทุนเพียง 500 บาท ผ่าน App K PLUS, K-My Funds, ธนาคารกสิกรไทย หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน