นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสภาวะเศรษฐกิจในประเทศปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ COVID-19 ที่ผ่านมา ส่งผลให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 0.50% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้เงินฝากธนาคารและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่อัตราเงินปันผลของหุ้นปันผล (Defensive Yield), หลักทรัพย์ประเภทกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์, ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์, กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงตราสารหนี้ภาคเอกชนยังอยู่ในระดับที่สูง และมีความน่าสนใจในการลงทุนมากขึ้น จึงแนะนำกองทุนสไตล์ Income Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีกระแสเงินสดจากการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ มีความยืดหยุ่นในการปรับน้ำหนักการลงทุนในแต่ละประเภทหลักทรัพย์ตามความผันผวนของตลาด
เอ็มเอฟซีจึงเสนอขาย กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี แฮปปี้ อินคัม พลัส (MIPLUS) ซึ่งเป็นกองทุนรวมผสม มีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ประเภท Investment Grade ตราสารทุน ได้แก่ หุ้นปันผลที่กระแสเงินสดมีความสม่ำเสมอ และได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจค่อนข้างน้อย (Defensive Yield) เช่น หุ้นในกลุ่มสื่อสาร (Telecom) และหุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities) เป็นต้น ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน เงินฝาก กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน และอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ โดยลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้ไม่เกิน 79% ของ NAV รวมถึงลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และไม่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าที่สามารถลงทุนได้ (non-investment grade), ตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (unrated securities), ตราสารทุนที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (unlisted securities) ทั้งในและต่างประเทศ และ/หรือ ตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note)
กองทุน MIPLUS มีจุดเด่น เน้นกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ที่มีความสามารถหรือสร้างรายได้ให้แก่ผู้ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงมีความยืดหยุ่นในการปรับสัดส่วนการลงทุนให้สอดคล้องและเหมาะสมกับภาวะตลาดที่มีความผันผวน กองทุนนี้เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนหรือแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินประเภทต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ และได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอ โดยเหมาะสมกับผู้ลงทุนที่สามารถลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาวประมาณ 1-3 ปีขึ้นไป ซึ่งคาดหวังผลตอบแทนในระยะยาวที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วไป