นายวศิน วัฒนวรกิจกุล กรรมการผู้จัดการ Head of Business Distribution บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (กองทุนบัวหลวง) เปิดเผยว่า กองทุนบัวหลวงเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) 2 กองใหม่ 2 สไตล์ ระหว่างวันที่ 15-21 กรกฎาคม 2563 นี้ ได้แก่ กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นฟิวเจอร์เพื่อการออม (B-FUTURESSF) สำหรับผู้ลงทุนที่มองเห็นโอกาสไปพร้อมกับการเติบโตจากการลงทุนในสินค้าและบริการ ที่นำนวัตกรรมมาปรับใช้รองรับแนวโน้มการบริโภคในอนาคต พร้อมด้วยกองทุนเปิดบัวหลวงอินคัมเพื่อการออม (B-INCOMESSF) ทางเลือกสำหรับผู้ที่อยากกระจายการลงทุนอย่างรอบคอบ โดยเสนอขายในราคา 10 บาทต่อหน่วยลงทุน
“หากต้องการออมเงินระยะยาว การลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ก็เป็นทางเลือกที่ช่วยให้ไปถึงเป้าหมายได้ โดยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นผลพลอยได้ด้วย สำหรับผู้ลงทุนสามารถเลือกกองทุน SSF ได้หลากหลายสไตล์ ส่วนจะเลือกแบบไหนไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ แต่ว่าอยู่ที่มุมมอง ขณะเดียวกันไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่อยู่ที่วินัยและการเตรียมพร้อม ยิ่งเริ่มเร็วเท่าไหร่ ก็มีโอกาสไปถึงเป้าหมายมากขึ้น ทั้งนี้ กองทุนบัวหลวงพร้อมใช้ประสบการณ์บริหารเงินลงทุนเพื่อการออมในระยะยาว ดูแลเงินให้ผู้ลงทุนทุกท่าน” นายวศินกล่าว
จากข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 ผู้ลงทุนมอบความไว้วางใจให้กองทุนบัวหลวงช่วยดูแลเงินลงทุนระยะยาวให้ ทั้งกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) รวมเม็ดเงินกว่า 175,905 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 27% ของเงินลงทุนในกองทุน RMF LTF และ SSF ของทั้งอุตสาหกรรม
กองทุน B-FUTURESSF จะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นเพื่อคนรุ่นใหม่ (B-FUTURE) เพียงกองทุนเดียว โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง กองทุนนี้จะเน้นลงทุนในต่างประเทศ ในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มการบริโภคในอนาคตที่นำนวัตกรรมใหม่ๆ มาปรับใช้ จึงเหมาะต่อผู้ลงทุนที่เห็นโอกาสการเติบโตจากนวัตกรรมสินค้าและบริการ โดยที่ผ่านมา B-FUTURE ทำผลการดำเนินงานได้เป็นที่น่าพอใจ
ขณะที่ B-INCOMESSF จะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนเปิดบัวหลวงอินคัม (B-INCOME) โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) โดยไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล กองทุนนี้เป็นกองทุนผสมที่จะกระจายลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพดีหลากหลายประเภททั้งในประเทศและต่างประเทศ
สำหรับเงื่อนไขการใช้วงเงินสิทธิประโยชน์ทางภาษี SSF ปกตินั้น ผู้ลงทุนสามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี และเมื่อรวมกับวงเงินลงทุนเพื่อเกษียณอื่นๆ ได้แก่ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ หรือเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท