xs
xsm
sm
md
lg

SET Index ที่ 1,300 จุด เอาไงต่อ?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



โดย ทีมจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด

หากนับจากจุดต่ำสุดของ SET Index ในปีนี้ที่ปรับตัวลงไปลึกถึง 969.08 จุด (ช่วงระหว่างวัน) ในวันที่ 13 มี.ค. 2020 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่พัฒนารุนแรงขึ้น นำไปสู่มาตรการควบคุมโรคระบาด โดยเฉพาะการ Lockdown ซึ่งแทบจะหยุดกิจกรรมภายในประเทศทั้งหมดนั้น จนมาถึงปัจจุบัน SET Index ได้ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างดีจนมาถึงระดับ SET Index ราวๆ 1,300 จุด คิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 34.12% สะท้อนพัฒนาการเชิงบวกของการแพร่ระบาดภายในประเทศ ซึ่งพิจารณาจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เฉลี่ยอยู่ที่ 5 คนต่อวันในช่วงเดือน พ.ค. ลดลงจากค่าเฉลี่ย 21 คนต่อวันในช่วงครึ่งหลังของเดือน เม.ย. จึงนำไปสู่การผ่อนปรนระยะที่ 2 และ 3 อย่างมีคุณภาพ เริ่มตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้ตลาดมีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะมีการชะลอตัวลงและแตะจุดต่ำสุดในไตรมาสที่ 2/2020 นี้แน่นอนแล้ว

ตลาดหุ้นไทยใช้เวลาเพียง 2 เดือนครึ่งในการปรับตัวขึ้นจากจุดดังกล่าวมาถึงระดับ 1,300 จุด ซึ่งเป็นระดับ SET Index Target ในปี 2020 ของ บลจ.ทิสโก้ที่ประเมินไว้ก่อนหน้า คำถามที่ตามมาคือ ในช่วงที่เหลือของปี จะเอายังไงต่อ?

สาเหตุของการที่ SET Index ปรับตัวขึ้นมาแรงได้ เราคาดว่ามาจากปัจจัยหลักๆ 3 ประการ ได้แก่

1) ความพยายามของนักลงทุนในการ Priced in ข่าวดี โดยเฉพาะพัฒนาการที่ดีต่อสถานการณ์ผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่ผ่านจุด Peak ไปแล้ว, การทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคระบาด, การพัฒนาวัคซีน/ยารักษา และอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันที่อยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงเกิดการระบาด COVID-19 ด้วยเหตุนี้ ทำให้ SET Index (ในระดับปัจจุบันมี Valuation อยู่ที่ 2020F P/E 18.5x และ 2021F P/E 15.11x ด้วย EPS 2020F 70.3 บาท และ EPS 2021F 81 บาท) ได้สะท้อนการฟื้นตัวของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนฯ ไปล่วงหน้าค่อนข้างไกล อีกนัยหนึ่งคือ กำไรของบริษัทฯ ในช่วงที่เหลือของปีอาจโตไม่ทันตามระดับดัชนี หาก SET Index ปรับตัวขึ้นไปสูงกว่านี้

2) การฟื้นตัวของระดับราคาน้ำมันจากจุดต่ำสุด (ต่ำกว่า 20 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล) ส่งผลดีต่อการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานใน SET Index ที่มีสัดส่วนประมาณ 15-20% ของมูลค่าตลาดโดยรวม ซึ่งเรามองว่าราคาน้ำมันน่าจะผ่านจุด Bottom ไปแล้ว และเชื่อว่าในช่วงเวลา 1-2 เดือนหลังจากนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ Demand และ Supply ของน้ำมันมีความสมดุลกันมากขึ้น โดยเฉพาะฝั่ง Demand ที่คาดว่าจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังจากสภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวหลังวิกฤต COVID-19 ซึ่งเรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้นที่มีรายได้/กำไร แปรผันตรงกับระดับราคาน้ำมัน

3) การกลับเข้ามาสะสมหุ้นอีกครั้งโดยนักลงทุนสถาบันที่ขายไปค่อนข้างมากในไตรมาสที่ 1/2020 โดยตลอดทั้งเดือน เม.ย. นักลงทุนสถาบันมีสถานะซื้อสุทธิ 23,675 ล้านบาท และเดือน พ.ค. (สิ้นสุด ณ วันที่ 22 พ.ค. 2020) ซื้อสุทธิ 9,126 ล้านบาท อย่างไรก็ดี หากพิจารณาระดับเงินสดโดยเฉลี่ยของกองทุนรวมประเภท Equity Fund ของ บลจ.ต่างๆ พบว่ามีระดับเงินสดโดยเฉลี่ยอยู่ที่ราวๆ 10-15% และเราคาดว่า SET Index อาจจะไม่ได้ปรับตัวลงแรงมากในช่วงที่เหลือของปีนี้

ในระยะสั้น เรามองว่าที่ระดับ SET Index เหนือ 1,300 จุด เราให้ความระมัดระวังมากขึ้นในการเข้าลงทุนในหุ้นบางกลุ่มอุตสาหกรรม ด้วย Valuation ที่ปรับขึ้นมาเร็วจนเกินไป ขณะที่ผลกำไรยังไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัว เป็นเหตุให้ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงหากตลาดมีการปรับฐานรอบใหม่ ดังนั้น กลยุทธ์ที่เหลือของปีนี้ จะเป็นการลงทุนแบบ Selective ที่มากขึ้น เราคาดว่าตัวเลขผลประกอบการของบริษัทฯ จะอ่อนแอมากที่สุดในไตรมาสที่ 2/2020 ผู้จัดการกองทุนใช้จังหวะดังกล่าวปรับสัดส่วนการลงทุนในพอร์ตเพื่อเลือก Winner ในแต่ละอุตสาหกรรม สำหรับในช่วงระยะการฟื้นตัวหลังจากจุด Peak ของ COVID-19 การสร้าง Alpha ของพอร์ตการลงทุนยังคงมาจากความสามารถในการหา Mismatch ของปัจจัยพื้นฐานและ Valuation เพื่อกำหนดน้ำหนักการลงทุนในระยะถัดไป

ปัจจัยที่จะทำให้ SET Index ปรับขึ้นต่อจากนี้และนำไปสู่การปรับ SET Index Target ของเราขึ้น ได้แก่ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวดีขึ้นจากระดับปัจจุบัน, สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ทั่วโลกที่ดีขึ้น และ Second Wave ของการติดเชื้อสามารถควบคุมได้, ท่าทีของธนาคารกลางต่อมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม, วัคซีนป้องกัน/รักษา และสำคัญที่สุดคือ การฟื้นตัวของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนฯ ใน SET Index ที่เร็วกว่าคาด

ขณะเดียวกัน Tail Risk ระยะสั้นที่มีผลต่อ Sentiment การลงทุน ได้แก่ ท่าทีความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีนรอบใหม่เกี่ยวกับประเด็น COVID-19, ร่างกฎหมายของสหรัฐฯ เกี่ยวกับความพยายามที่จะเพิกถอนการจดทะเบียนของบริษัทสัญชาติจีนอย่าง Alibaba และ Baidu ออกจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ทั้ง NASDAQ และ NYSE, การที่ประเทศจีนมีแผนที่จะออกกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติสำหรับฮ่องกง ซึ่งการโต้ตอบกันไปมาเช่นนี้อาจลุกลามไปถึงประเด็นสงครามการค้ารอบใหม่ และเป็นเหตุให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังจากนี้เป็นไปได้ช้ากว่าที่คาด


กำลังโหลดความคิดเห็น