วรวรรณ ธาราภูมิ
ประธานกรรมการบริหาร บลจ.บัวหลวง จำกัด
คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ท่านสรุปผลการประชุมทางไกล 90 คน ของนักวิเคราะห์อนาคต นักออกแบบ นักเทคโนโลยี ผู้ออกแบบนโยบายสาธารณะหลายประเทศ ทั้งในยุโรปและสหรัฐฯ ที่สำรวจประเมินด้วยซอฟต์แวร์ที่พัฒนาโดย MIT จนรวมความคิดเห็นมาได้ว่า ถ้า COVID-19 ต้องอยู่กับสังคมโลกไปแบบยาวข้ามปี..จะเกิดอะไรขึ้นกับสังคมฝรั่ง (สังคมไทยก็น่าจะไม่หนีกันเท่าไหร่) … ท่านระบุว่า
1. เลือกที่จะปล่อยกลไกตลาดให้มันจัดตัวเองไป ฝรั่งตั้งชื่อแบบจำลองแรกนี้ว่า "Piramid" ซึ่งมีผู้อยู่บนยอดพีระมิดน้อยราย มีฐานไล่ลำดับทับเรียงเอาเปรียบกันลงมาเรื่อยๆ จนถึงข้างล่างสุดนั่นคือ กลุ่มผู้มั่งมีจะเข้าช้อนซื้อสินทรัพย์จากผู้เดือดร้อนในราคาถูกๆ … ถ่างความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่เดิมให้หนักขึ้นไปอีก
ผลของมันคือ อีกไม่นาน สังคมที่ถูกเอาเปรียบจะหา "แพะมารับบาป" เพราะความโกรธกลุ่มการเมืองในสังคมฝรั่งจะผุดกลุ่มใหม่ๆ มากมาย มาชี้นิ้วและนำม็อบออกมาเพื่อหา "แพะ"
กลุ่มมาเฟียติดอาวุธในมุมมืดจะแสดงตน ทั้งเพื่อคุ้มครองและฉกฉวย แน่นอนว่า ทุกรัฐที่ปล่อยไปจนต้องตกอยู่ในสภาวะแบบนั้นจะไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องใช้กำลังของรัฐที่เหนือกว่าเข้าปรามและควบคุม และอาจมีการปะทะ เกิดความรุนแรงเพื่อให้สังคมอยู่ในความสงบนิ่งทั้งทางออนไลน์และนอกออนไลน์ ซึ่งรัฐเหล่านั้นจะจำต้องล้วงข้อมูลบุคคลออกมาวิเคราะห์และจำแนกความเสี่ยงกันยุ่งนุงนัง สังคมจะเกิดความกดดันและการแกะแก้ที่ซับซ้อน เพราะทุกอย่างจะไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน และกว่าจะสงบลงได้ก็จะนาน
2. การปรากฏขึ้นของผู้ชี้นำที่น่านับถือ
อันนี้ ฝรั่งเลือกใช้ศัพท์แทนด้วยคำว่า "the leviathan" โดยแนะว่ารัฐบาลฝรั่งอาจต้องเลือกใช้อำนาจเข้าควบคุมกิจการเท่าที่จำเป็น เพื่อบริหารให้เจ้าใหญ่ในตลาดต้องกระจายทรัพยากร กระจายสินค้าและของจำเป็นให้ไปถึงมือภาคประชาชนอย่างเป็นธรรม จากนั้นรัฐก็ลงทุน (อาจจะจากเงินกู้ยืมแบบต่างๆ) เพื่อนำมาเล่นบท "ผู้ว่าจ้างงานสาธารณะรายใหญ่" ทำให้ประชาชนมีงานทำ ได้ค่าตอบแทนตามสมควร และงานที่จ้างจะเน้นที่ความยั่งยืนของอนาคต และ/หรือ เป็นความจำเป็นพื้นฐาน เช่น ได้ความสะดวก สะอาด ปลอดภัย ได้ความเอื้ออาทรดูแลกันในสังคม ดูแลคนอ่อนแอ ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างน่าหดหู่
แนวนี้ ผู้วิเคราะห์ชี้ว่าต้องอาศัยผู้นำที่เสียสละสูงมาก ... สร้างศรัทธาเชื่อมั่นให้คนในสังคมเห็นว่าไม่มีใครได้เปรียบ และทุกคนจะเริ่มยอมเหนื่อยยากไปด้วยกันจนกว่าสถานการณ์จะจบลง
อย่างไรก็ดี..แนวทางนี้ตอนจบ..ทุกคนจะต้องยอมเจออีก "ก๊อก” นั่นคือ การร่วมชำระหนี้สาธารณะก้อนโตไปด้วยกัน
แปลว่า ภาษีของฝรั่งในวันที่ฟ้าสว่างจะต้องสูงขึ้น และฐานต้องกว้างขึ้นอย่างมาก แนวนี้เน้นปลุกระดมการรับผิดชอบร่วมกัน
3. รักษาบ้านเมืองด้วยการดูแลชุมชนให้เข้มแข็ง ฝรั่งเรียกแนวนี้ด้วยคำว่า "the village" คือ ส่งมอบความไว้วางใจให้ชุมชนได้จัดการตนเอง ... ชุมชนจะเร่งสร้างระบบภายในที่พึ่งพากันเอง ทั้งการเงิน การดูแลความมั่นคงทางอาหาร และการได้รับปัจจัยสี่ หลายอย่างของชุมชนอาจมีการฝ่าฝืนกฎหมายและกติกากลางไปบ้าง..แต่ไม่ใช่เพื่อฮุบมาเป็นของคนใดคนหนึ่งแต่ทำเพื่อชุมชนโดยรวม (ซึ่งจะมีทั้งที่เหมาะและไม่เหมาะ ... เช่น อาจตกลงยึดที่ป่า ลำน้ำหรือที่สาธารณะมาใช้ประโยชน์ชุมชนในระดับที่มากเกินไป) ในทางเลือกนี้ สิ่งที่จะเกิดตามมาคือชุมชนเข้มแข็งขึ้น ทั้งการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ ... การปะทะ ประลองกำลังกันในระดับท้องถิ่นจะเกิดขึ้นมากมาย แต่ในที่สุดจะสงบลงตามระดับการต่อรองที่ยอมรับกันเองได้ต่อไป
แต่ทั้งหมดนี้จะอยู่ได้อย่างเปราะบาง เพราะชุมชนส่วนมากมักไม่มีความสมบูรณ์เพียงพอที่จะ ต้านภัย จากภายนอกได้นานนัก อีกทั้งจะก่อให้เกิดการเข้ารวมกลุ่มย่อยๆ เพื่อให้กลุ่มตัวเอง "รอด" ด้วยการขีดกั้นกันผู้อื่นไม่ให้เข้าใกล้ชุมชน อาจดูเข้มแข็ง ... แต่สังคมประเทศอาจจะต้องร้าวลึก
คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ให้ความคิดต่อยอดว่า การล็อกดาวน์ในแต่ละระดับที่นานพอ ย่อมทำให้มนุษย์ทุกคนปรับตัว และเมื่อปรับตัวนานพอก็จะกลายเป็นบุคลิกใหม่ เป็นมารยาทสังคมใหม่ ... การออกแบบร่วมกันว่าจะผสมผสานทางเลือกข้างต้นอย่างไร จึงเป็นโจทย์สำคัญที่เราคนไทยและเพื่อนๆ รอบบ้านอาจนำไปขบคิดต่อ
“เรายังพอมีจังหวะ และยังไม่ช้าไปในการรื้อชุดความคิดเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ การกำหนดบทบาทของกันและกันในท่ามกลางโควิด ที่จะร่วมกันรับผิดชอบต่อส่วนรวม รับผิดชอบต่อการเปิดและการคลายล็อกลงตามจังหวะเมื่อเหมาะสม และพร้อมรับการต้องปิดล็อกดาวน์ใหม่ไปอีกเป็นจังหวะ ... เป็นระยะ
หากใช้เวลานี้เรียนรู้พัฒนาสูตรทางเศรษฐกิจและสังคมแบบใหม่ๆ ไปด้วยกัน เราจะสามารถร่วมกันสร้างหรือผสมสูตรแห่งความสมดุลที่จะเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย และใช้เป็นฐานสร้างโอกาสให้อนาคตประเทศได้นานๆ ทั้งระหว่างล็อกดาวน์และเมื่อหลังโควิดก้าวผ่านไป”
อ่านที่ท่านเขียนก็บอกได้ว่า ตรงใจ และขอสนับสนุนให้พวกเราช่วยกันคิด เพื่อนำเสนอต่อผู้นำของประเทศในโอกาสที่เหมาะสม
โจทย์เปลี่ยน โลกเปลี่ยน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน ... นโยบายรัฐก็สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมยิ่งขึ้นได้