นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า ตามที่เกิดสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในขณะนี้ และกระทรวงสาธารณสุขได้มีการประกาศให้โรค COVID-19 เป็นโรคติดต่ออันตรายตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 แล้วนั้น สมาคมประกันวินาศภัยไทยได้มีหนังสือขอความร่วมมือจากบริษัทสมาชิกในการทบทวนแผนรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง (Business Continuity Plan : BCP) เพื่อให้แผนที่มีอยู่นั้นมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันและที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งดำเนินการทดสอบแผนดังกล่าวเพื่อให้มั่นใจว่าหากสถานการณ์มีความรุนแรงมากขึ้น มีการระบาดของโรค COVID-19 ในวงกว้าง ซึ่งอาจส่งผลทำให้บริษัทสมาชิกไม่สามารถจะดำเนินธุรกิจในรูปแบบปกติได้ และมีความจำเป็นต้องใช้แผนรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องแล้ว การดำเนินงานของบริษัทสมาชิกจะไม่หยุดชะงักและเกิดผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียน้อยที่สุด ซึ่งในการทบทวนแผนรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องนั้นควรคำนึงถึง
1. การกำหนดระบบงานที่สำคัญ การระบุระบบงานที่สำคัญซึ่งหากเกิดการหยุดชะงักแล้วจะส่งผลกระทบต่อการให้บริการผู้เอาประกันภัย ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การดำเนินธุรกิจ ชื่อเสียง ฐานะและผลการดำเนินงานของบริษัทสมาชิกอย่างมีนัยสำคัญ เช่น ระบบการออกกรมธรรม์ ระบบการรับแจ้งเหตุ ระบบการจ่ายค่าสินไหมทดแทน นอกจากนี้ บริษัทสมาชิกยังควรระบุทรัพยากรที่จำเป็นซึ่งระบบงานที่สำคัญจำเป็นต้องใช้เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ เช่น บุคลากร เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลที่จำเป็น ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้รองรับระบบงานที่สำคัญ ขนาดของแบนด์วิดท์ที่เหมาะสม รวมถึงการดำเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การปฏิบัติตามนโยบายและมาตรการรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีสารสนเทศและไซเบอร์ การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ที่จะมีผลใช้บังคับในปลายเดือนพฤษภาคมนี้
2. การประเมินความเสี่ยง บริษัทสมาชิกควรต้องประเมินความเสี่ยงและโอกาสที่โรค COVID-19 จะทำให้ระบบงานที่สำคัญหยุดชะงักและอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจทั้งในระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว นอกจากนี้ ยังควรกำหนดสถานการณ์วิกฤตร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้น เช่น การประกาศการเข้าสู่ระยะที่ 3 ของโรค หรือการปิดกรุงเทพฯ หากสถานการณ์ไม่สามารถควบคุมให้อยู่ในวงจำกัด
3. การวิเคราะห์ผลกระทบทางธุรกิจ บริษัทสมาชิกควรต้องวิเคราะห์และประเมินผลกระทบทางธุรกิจหรือความสูญเสียทางธุรกิจที่อาจเกิดขึ้นกับทุกธุรกรรมงานที่สำคัญ เพื่อให้ทราบถึงความสัมพันธ์ของธุรกรรมงานที่สำคัญและผลกระทบจากการหยุดชะงักของระบบงานที่สำคัญนั้น และจะช่วยให้บริษัทสมาชิกสามารถกำหนดลำดับความสำคัญของการดำเนินงานและจัดสรรทรัพยากรในการเรียกคืนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. การกำหนดกลยุทธ์การเรียกคืนการดำเนินงานให้กลับสู่ภาวะปกติ บริษัทสมาชิกควรมีการกำหนดแนวทางในการตอบสนองต่อการหยุดชะงักของระบบงานที่สำคัญ รวมถึงกำหนดระยะเวลาหยุดดำเนินงานที่ยอมรับได้ของแต่ละระบบงานที่สำคัญ เพื่อจะได้นำระยะเวลาดังกล่าวมาใช้ในการจัดลำดับความสำคัญของระบบงานดังกล่าว และกำหนดวิธีการและระยะเวลาในการเรียกคืนการดำเนินงานและทรัพยากรที่จำเป็นต้องใช้เพื่อให้การดำเนินงานของระบบงานเหล่านั้นกลับคืนสู่สภาวะปกติ
5. การทบทวนกระบวนการและขั้นตอนการปฏิบัติงาน บริษัทสมาชิกควรมีการทบทวนกระบวนการและขั้นตอนการปฏิบัติงานของทุกระบบงานที่สำคัญ ทั้งระบบงานภายในและระบบงานที่บริษัทสมาชิกใช้บริการจากบุคคลภายนอก เพื่อให้การดำเนินการของทุกระบบงานที่สำคัญเป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ
7. การจัดทำแผนการติดต่อสื่อสาร บริษัทสมาชิกควรมีการจัดทำแผนการติดต่อสื่อสารเพื่อสามารถแจ้งเหตุต่อผู้เอาประกันภัย รวมถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกบริษัทและผู้กำกับดูแลได้อย่างทันท่วงที และป้องกันไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกหากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อผู้เอาประกันภัย
8. การจัดอบรมและการสื่อสาร บริษัทสมาชิกควรจัดให้มีการอบรมและสื่อสารเกี่ยวกับแผนรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องและแนวทางการปฏิบัติงานภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนเข้าใจและรับทราบถึงบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของตนหากเกิดเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดการหยุดชะงักของการดำเนินงาน