บลจ.กสิกรไทยเชื่อเก็บภาษีกองตราสารหนี้กระทบเล็กน้อย เหตุลงทุนต่างประเทศโดนเก็บอยู่แล้ว ระบุเป็นภาระของผู้ออกตราสารมากกว่า และอาจต้องเพิ่มผลตอบแทนให้นักลงทุนมากขึ้น พร้อมตั้งเป้าปีนี้ AUM โตแตะ 1.3 ล้านล้านบาท รั้งเบอร์หนึ่งของอุตสาหกรรมกองทุนรวม เล็ง Q3 เปิดแอปฯ ซื้อขาย สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนบนมือถือ ส่วนปีหน้าเพิ่มบริการเปิดบัญชีอำนวยความสะดวกลูกค้าแค่ปลายนิ้ว
นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทคาดว่าสินทรัพย์สุทธิของบริษัทจะเติบโตในระดับ 1.3 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นกองทุนรวม 1.1 ล้านล้านบาท กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 1.6 แสนล้านบาท กองทุนส่วนบุคคลเกือบ 1 แสนล้านบาท ส่วนภาพรวมในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาอุตสาหกรรมกองทุนรวมมีสินทรัพย์สุทธิโตเพิ่มขึ้นเกือบถึง 5 ล้านล้านบาทแล้ว โดยบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 คือมีสินทรัพย์สุทธิประมาณ 9.8 แสนล้านบาท ห่างจากที่ 2 ของอุตสาหกรรมประมาณ 1 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ ในส่วนของช่องทางการจำหน่าย บริษัทคาดว่าในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้หรือประมาณเดือนกันยายน บริษัทจะทำการเปิดให้บริการแอปพลิเคชันที่สามารถซื้อขายกองทุน และสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนได้ ซึ่งจะเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนในปัจจุบัน นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนขยายการให้บริการเปิดบัญชีซื้อขายหน่วยลงทุนเพิ่มเติม และคาดว่าจะสามารถเริ่มให้บริการได้ภายในปี 2561 เป็นต้นไป
“การเติบโตของกองทุนในปีนี้น่าจะเป็นของกองทุนอินคัมที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สม่ำเสมอ และการเติบโตคงจะมาจากกองมันนีมาร์เกต และกองทุนเทอมฟันด์ ซึ่งตอนนี้ก็โตไปแล้วประมาณ 8 หมื่นล้านบาทในส่วนของบริษัท ขณะที่กองต่างประเทศก็จะได้รับความนิยมทั้งเรื่องการเพิ่มผลตอบแทน และในส่วนของกองทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สม่ำเสมอ ตรงนี้นักลงทุนจะให้ความสนใจและเป็นเทรนด์ต่อจากนี้” นายวศินกล่าว
นายวศินกล่าวอีกว่า ในส่วนของแนวทางการเก็บภาษีสำหรับกองทุนตราสารหนี้นั้นบริษัทเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์สุทธิมากนัก เนื่องจากกองทุนจะมีการหาผลตอบแทนเพื่อเป็นแรงจูงใจให้แก่นักลงทุนอยู่แล้ว แต่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนในการออกตราสารหนี้ของผู้ประกอบการมากกว่า เพราะอาจจะต้องมีการรับภาระภาษีเพิ่มขึ้นหากต้องการเงินทุนเพิ่มเติม โดยปัจจุบันการลงทุนในกองทุนประเภทเทอมฟันด์ของทั้งอุตสาหกรรมจะเป็นการลงทุนในต่างประเทศถึง 40% ส่วนของบริษัทจะมีอยู่ถึง 90% และกองทุนเปิดจะมีอยู่ 20-30% ที่เป็นการลงทุนต่างประเทศ ซึ่งทั้งหมดจะมีการเสียภาษีมาแล้วตั้งแต่ต้นทาง
“เราเห็นด้วยกับการเก็บเพราะตอนนี้กองต่างประเทศที่ลงทุนก็ถูกเก็บอยู่แล้ว แต่ไม่ควรให้ซ้ำซ้อน ซึ่งเท่าที่เคยหารือกับทางคลังเราก็แจ้งไปแล้วว่าควรเก็บในระดับตราสารหนี้ไปเลยเพราะจะสะดวกกว่า แต่ถ้าไม่ทำอย่างนั้นแล้วต้องการให้เริ่มเก็บตั้งแต่ 1 ตุลาคมนั้นคงเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้ก็ช่วยกันสื่อสารในเรื่องนี้อยู่ แต่ถ้าต้องแก้กฎหมายในเรื่องหน่วยของภาษีนั้นคงต้องใช้เวลาอีกนาน และระบบที่มีมันยังไม่พร้อมที่จะรองรับได้” นายวศินกล่าว
อย่างไรก็ตาม การเก็บภาษีกองทุนตราสารหนี้เบื้องต้นบริษัทมองว่าภาครัฐคงไม่สามารถจัดเก็บได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ เนื่องจากการจัดเก็บภาษีจะต้องเรียกเก็บจากอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับ ไม่ควรนำมูลค่ารวมของเม็ดเงินลงทุนตราสารหนี้ และราคาของตราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้นมาคำนวณ
มองหุ้นไทย 1,650 จุด
ด้านนางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาขาดปัจจัยสนับสนุน แต่บริษัทเชื่อว่าภายในปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะอยู่ในระดับ 1,650 จุด หรือเติบโตประมาณ 15% ได้ แต่ผลตอบแทนที่ได้จะต่ำกว่าในปีที่ผ่านมา โดยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้คาดว่าหุ้นไทยน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกประมาณ 4-5% โดยมีปัจจัยจากผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปีนี้ รวมถึงแนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีหน้าที่จะเข้ามาเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ดัชนีปรับตัวขึ้นได้
“ปีนี้ตลาดขาดปัจจัยสนับสนุน และในกลุ่มพลังงานเองก็มีแรงกดดันทางด้านราคาอยู่ ซึ่งหุ้นกลุ่มที่บริษัทคาดว่ามีแนวโน้มที่ดีในการลงทุนจะเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนเรื่องกองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์นั้นคงจะยังไม่ส่งผลต่อตลาดมากนักเพราะผลตอบแทนที่ระบุยังไม่นิ่ง และคงไม่สูงมากนัก เพราะเป็นการลงทุนของภาครัฐ อย่างไรก็ตาม คงต้องตามดูต่อไปว่าสรุปแล้วจะออกมาอย่างไร” นางสาวธิดาศิริกล่าว