CIMB แนะนำธีมการลงทุนในปี 2017 ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานนำหน้า, อสังหาฯ สร้างรายได้, เกาะกระแสเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ซึ่งคาดว่าธีมหลักคือโครงสร้างพื้นฐานที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมทุ่มเม็ดเงินกว่า 550 พันล้านดอลลาร์ในกลุ่มนี้
นายวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บลจ.ซีไอเอ็มบี พรินซิเพิล จำกัด เผยว่า นับตั้งแต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทุกสายตาต้องจับจ้องไปที่โครงสร้างพื้นฐาน เพราะทรัมป์ได้หาเสียงจะทุ่มเม็ดเงินในโครงสร้างพื้นฐานกว่า 550 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการซ่อมผิวการจราจรและปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าซึ่งเป็นการปรับทิศทางนโยบายเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี การใช้นโยบายการคลังและการทุ่มเม็ดเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยต่อยอดการเติบโตเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จากที่ฟื้นตัวมาแล้วหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 เป็นเวลากว่า 7 ปี การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานไม่ได้บูมเฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น แต่เป็นแนวโน้มกระแสหลักที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลก คาดว่าในปี 2016-2020 ทั่วโลกจะมีเม็ดเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานกว่า 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ทั้งระบบขนส่งโทรคมนาคม พลังงาน และน้ำ ทั้งนี้ งานวิจัยพบว่าทุก 1% ที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยให้เศรษฐกิจโตเร็วขึ้น 1.2% จึงแนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นโครงสร้างพื้นฐานที่จะเติบโตจากเม็ดเงินลงทุนในส่วนต่อขยาย หรือการปรับปรุงประสิทธิภาพให้ลดต้นทุนและมีกำไรเพิ่มขึ้น
สำหรับในประเทศไทย การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานก็จะเป็นแรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจเช่นกัน โดยเม็ดเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจำนวนกว่า 5 แสนล้านบาทจะถูกทยอยเบิกจ่ายในปี 2017-2022
แม้ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยไป แต่เมื่อดูจากแนวปฏิบัติในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เชื่อว่า Fed จะทยอยปรับขึ้นอย่างระมัดระวัง โดยรอดูข้อมูลการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และระวังไม่ให้การขยับดอกเบี้ยไปสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดการเงินทั่วโลก ในขณะเดียวกัน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยน่าจะคงดอกเบี้ยที่ 1.50% ไปอีกอย่างน้อยถึงครึ่งหลังของปี 2017 ในภาพรวมอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจึงน่าจะอยู่ในระดับต่ำทั่วโลก
ในภาวะดอกเบี้ยต่ำ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จึงยังมีความน่าสนใจมาก โดยตัวเลขอัตราผลตอบแทนคาดหวังจากกองรีททั่วโลกอยู่ที่ 6.0-7.0% ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลโลกอยู่ที่ 1.0-2.0% การลงทุนใน Global REITs จึงทำให้ผลตอบแทนส่วนเพิ่มสูงถึง 5.0%
ยิ่งไปกว่านั้น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยใช้นโยบายการคลัง ประกอบกับราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นจะทำให้อัตราเงินเฟ้อเริ่มกลับมาเป็นขาขึ้น เนื่องจากสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศมักผูกรวม “อัตราเงินเฟ้อ” ในการปรับฐานค่าเช่า เมื่อเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นค่าเช่าก็จะเพิ่มขึ้นด้วย การลงทุนในอสังหาฯ ผ่านกองรีทจึงมีความน่าสนใจ
ปัจจุบันเรากำลังอยู่ในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 เป็นโลกในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วมากในแทบทุกสาขา ทำให้พฤติกรรมของคนรวมทั้งวิธีการทำงานแบบเดิมๆ ต้องเปลี่ยนไป และเป็นยุคที่เทคโนโลยีกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันแบบแยกไม่ออก โดยเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่กำลังเข้ามา Disrupt หรือเปลี่ยนแปลงวิถีแบบเดิมๆ ได้แก่ การเชื่อมโยงกัน (Internet of Things) การใช้หุ่นยนต์แทนแรงงานคน (Robotics) รถยนต์ขับเคลื่อนเองได้ (Autonomous vehicles) การพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing) ไปจนถึงเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูล (Data storage) และการจัดเก็บพลังงาน (Energy Storage) ที่เปลี่ยนแปลงเร็วมาก
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาหุ้นกลุ่ม Technology อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นและขึ้นได้ดีกว่าดัชนี MSCI World ด้วย จนหลายคนสงสัยว่าเราจะเจอ Tech Bubble เหมือนปี 2001 ไหม แต่เมื่อมองให้ลึกลงไป หุ้นกลุ่ม Technology ในวันนี้ต่างจากเมื่อ 16 ปีก่อนมาก ในครั้งนั้นยังเป็นบริษัทขนาดเล็ก ยังไม่มีรายได้ หรือมีรายได้แล้วก็ยังไม่มีกำไร จึงซื้อขายกันด้วย P/E สูงเป็น 100 เท่า แต่ในวันนี้กลุ่ม Technology กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ มีรายได้และมีกำไรเติบโตดี ส่วนใหญ่มาจากการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคมาใช้ Online/Mobile Platform มากขึ้น จึงมีรายได้จากโฆษณา สั่งซื้อสินค้า/ชำระเงิน/บริการการเงิน/เล่นเกมออนไลน์ มี Brand แข็งแกร่งและครองส่วนแบ่งตลาดสูง บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook, Aiphabet (เดิมคือ Google), Amazon, Tencent จึงไม่ใช่แค่ฟองสบู่ แต่เป็นของจริงที่จับต้องได้