ภาพตลาดหุ้นจีนมีความผันผวนอย่างชัดเจนขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์จีนปรับตัวลดลงอย่างหนัก โดย H SHARE ปรับตัวลดลงกว่า 3 เปอร์เซ็นต์ สาเหตุหลักมาจากนักลงทุนยังคงกังวลถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และเศรษฐกิจโลกโดยรวม รวมถึงมาตรการที่ทางการจีนสั่งห้ามไม่ให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ขายหุ้นออกจะหมดอายุลง ยิ่งทำให้นักลงทุนมีความกังวลว่าผู้ถือหุ้นเหล่านั้นจะเทขายหุ้นของตนเองออกมาและทำให้ตลาดปรับตัวลดลง มาตรการดังกล่าวยังสั่งห้ามไม่ให้ผู้ถือหุ้นมากกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงผู้บริหารขององค์กร (Corporate Executives and Directors) ขายหุ้นของตนออก อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นจีนได้รับปัจจัยบวกเล็กน้อยจากการที่ธนาคารกลางจีนปรับลด Reserve Requirement Ratio (RRR) ลงมาอยู่ที่ระดับ 17.0 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ ตลาดได้กลับมากังวลเกี่ยวกับภาระหนี้เสีย (NPL) ที่ปรับเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ที่ปรับลดลงตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางจีนในไตรมาสที่ผ่านมา
และล่าสุด การที่ MSCI ได้เลื่อนการนำตลาดหุ้น A-SHARE เข้าคำนวณในดัชนี MSCI เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีความไม่มั่นใจในการลงทุนผ่าน QFII การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเคลื่อนย้ายเงินทุน และนโยบายการหยุดการซื้อขายของตลาดหุ้นจีน ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลถึงความน่าสนใจลงทุนในตลาดหุ้นจีนมากน้อยแค่ไหน และพอร์ตการลงทุนในหุ้นจีนควรเป็นอย่างไร ผมขอเริ่มต้น ดังนี้
ก่อนหน้านี้ผมได้เคยกล่าวถึงภาพเศรษฐกิจและการลงทุนในตลาดหุ้นจีนไปบ้างแล้ว โดยมองว่าเศรษฐกิจของประเทศจีนได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่การเติบโตยังคงเป็นแบบเปราะบาง โดยตัวเลขการลงทุนของจีนมีสัญญาณปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนจากการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของจีน (ODI) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 61.9% ต่อปี และการลงทุนจากต่างประเทศที่เข้าสู่จีนที่เพิ่มขึ้น 3.8% ต่อปี ทั้งนี้ ด้วยตัวเลขการลงทุนที่ออกนอกประเทศมากกว่าเข้าสู่ประเทศ ซึ่งอาจทำให้ทุนสำรองของจีนปรับลดลงในอนาคต ซึ่ง ODI ถือเป็นอีกหนึ่งในหลายๆ แนวทางของทางการรัฐบาลเพื่อใช้กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี แนวโน้มการลงทุนในระยะถัดไป บลจ.วรรณมองว่าตลาดยังคงมีความผันผวน โดยนักลงทุนยังคงกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีน สัดส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากที่ผมกล่าวไว้ข้างต้น สัดส่วนทุนสำรองเป็นการลดลงจากการลงทุนในต่างประเทศ ทั้งนี้ การลดลงดังกล่าวยังถือว่าอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อมาตรการของภาครัฐยังคงมีอยู่หลังจากที่ออกมาตรการค่อนข้างถี่อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยปัจจัยที่ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือ เสถียรภาพของค่าเงินหยวน และสัดส่วนหนี้เสียของธนาคารพาณิชย์จะขยายวงกว้างหรือไม่ ซึ่งในประเด็นเรื่องหนี้เสียของธนาคารพาณิชย์จีนนั้น มองว่าธนาคารขนาดใหญ่ของจีนส่วนใหญ่จะควบคุมโดยภาครัฐ ดังนั้น มีความเป็นไปได้น้อยที่รัฐบาลจีนจะปล่อยให้เกิดวิกฤตกับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ในประเทศ
ในระยะสั้น ตลาดหุ้นจีนมีโอกาสผันผวนตามปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่อง Brexit ทั้งนี้ หากพิจารณาด้านราคาหุ้นถือว่าปรับตัวลงมาพอสมควร ดังนั้น ในส่วนของคำแนะนำ ผมขอแบ่งประเภทผู้ลงทุนออก 2 ประเภท โดยประเภทแรก สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจในตลาดหุ้นจีนและยอมรับความผันผวนได้อาจจะหาจังหวะทยอยลงทุนได้บ้างบางส่วน พร้อมกับติดตามความมีประสิทธิภาพของมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลจีนได้ดำเนินการเพื่อยับยั้งการปรับตัวลงของดัชนีหุ้น และกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด ประเภทที่สอง สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจกระจายการลงทุนในต่างประเทศ ผมยังแนะนำให้รอดูสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ชัดเจนมากกว่านี้ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงหลังไตรมาส 3/59 และจัดสรรเงินลงทุนบางส่วนในพอร์ตเพื่อลงทุนในประเทศอื่นที่ยังมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี เนื่องด้วยธรรมชาติของตลาดหุ้นจีน (A SHARE) ประกอบด้วยนักลงทุนรายย่อยเป็นสัดส่วนที่สูงกว่า 80% ดังนั้น ความผันผวนของตลาดจึงเกิดขึ้นได้ง่ายตามแรงขายทำกำไรของนักลงทุนหากมีประเด็นที่กระทบความเชื่อมั่นอย่างรุนแรง เช่น นโยบายภาครัฐ ตัวเลขเศรษฐกิจ รวมถึงปัจจัยแวดล้อมจากต่างประเทศ ซึ่ง Sentiment ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น H SHARE (บริษัทจดทะเบียนในประเทศจีนแต่เปิดซื้อขายในประเทศฮ่องกง) เช่นกัน ทั้งนี้ การทำความเข้าใจธรรมชาติของตลาดหุ้นในแต่ละประเทศจะเป็นข้อมูลสำคัญที่ผู้ลงทุนควรทราบก่อนพิจารณาตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศครับ
• “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
คุณมณฑล จุนชยะ
ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.วรรณ
monthol.j@one-asset.com