xs
xsm
sm
md
lg

บทเรียนจากการร่วมงานเปิดสาขาธนาคารเมย์แบงก์ที่พม่า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


คอลัมน์รวยด้วยรัก รวยด้วยหุ้น
โดย มนตรี ศรไพศาล

เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปร่วมงานประเทศพม่า เพื่อร่วมฉลองการเปิดสาขาธนาคารเมย์แบงก์ในประเทศพม่า มีแรงบันดาลใจหลายประการที่อยากเสนอต่อท่านผู้อ่าน ดังต่อไปนี้

1. พม่าเป็นประเทศที่น่าสนใจต่อการลงทุนอย่างมาก

...พม่ามีประชากร 54 ล้านคน ไทยมี 67 ล้านคน

...พม่ามีรายได้ต่อประชากร 44,322 บาท/คน/ปี ไทยมี 198,034 บาท/คน/ปี (4.47 เท่าของพม่า)

...พม่ามีสัดส่วนประชากรที่เป็นเกษตรกร 66.8% ไทยมี 65.5% ใกล้เคียงกัน

ทำให้สังเกตได้ว่า พม่ายังขาดการลงทุนอุตสาหกรรม และธุรกิจเพิ่มคุณค่ามากมาย ทำให้รายได้น้อยกว่าคนไทยมาก แต่เกษตรกรกลับพอๆ กัน เพราะประเทศที่รายได้ดีๆ จะมีสัดส่วนประชาชนที่เป็นเกษตรกรน้อยมาก เพราะเกษตรกรมีโอกาสในการทำงานอื่นๆ ซึ่งมีรายได้ดีขึ้น เช่น

... มาเลเซีย มีสัดส่วนเกษตรกร 26.7% มีรายได้เป็น 2 เท่าของคนไทย และ

... สิงคโปร์ มีสัดส่วนเกษตรกร 0% มีรายได้ประมาณ 10 เท่าของคนไทย

2. น่าดีใจที่เมย์แบงก์ได้มีโอกาสไปลงทุนในพม่า

พม่าเลือกเปิดรับให้ธนาคารต่างประเทศเข้าไปเปิดธุรกิจในพม่า โดยออกใบอนุญาตให้ธนาคารไทยเพียง 1 ธนาคาร และธนาคารมาเลเซียเพียง 1 ธนาคาร ซึ่งของมาเลเซีย คือ เมย์แบงก์ ซึ่งก็สมศักดิ์ศรี เพราะธนาคารเมย์แบงก์เป็นธนาคารอันดับ 1 ในมาเลเซีย สินทรัพย์กว่า 5 ล้านล้านบาท

นอกจากนั้น ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยมี ปตท.เป็นกิจการที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ตลาดหุ้นมาเลเซียมีธนาคารเมย์แบงก์เป็นกิจการที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เมย์แบงก์จัดงานฉลองในเนื้อหาว่า “ร่วมจุดประกายความสว่างในพม่า” แสดงรูปหลอดไฟสว่างในด้านหนึ่ง ผมเห็นว่า ตรงกับความต้องการ

เมื่อผมนั่งรถผ่านซอยแยกต่างๆ จากถนนใหญ่ มองเข้าไปเป็นตรอกซอยเล็กๆ บรรยากาศยามกลางคืนมืดมาก ทั้งๆ ที่เป็นตัวเมืองย่างกุ้ง ซึ่งถือว่าเป็นนครการค้าที่ใหญ่และคึกคักที่สุดของพม่าแล้ว หากจะเทียบกับประเทศไทยก็น่าจะเทียบได้กับเมื่อราวๆ 30 ปีที่แล้วได้!

และอีกความหมายหนึ่ง คือ การจัดกิจกรรมเพื่อสังคม โดยเมย์แบงก์ได้สนับสนุนทุนด้านการศึกษาจำนวนพอสมควร เพื่อเป็นการจุดประกายความสว่างว่า วิธีการที่จะพัฒนาประเทศดีที่สุด คือ การลงทุนด้านการศึกษา เพื่อให้ประชาชนเติบโตอย่างแข่งขันได้ในระยะยาว

3. แรงงานไทยไม่ควรประมาทแรงงานพม่า

เราได้มีโอกาสรับประทานอาหารเพื่อเฉลิมฉลองแบบโต๊ะจีน เขามีเจ้าหน้าที่เสิร์ฟอาหาร 20-30 คน ทุกคนทำงานอย่างมืออาชีพ ถือจานอาหารหนักๆ เข้าแถวเป็นระเบียบ เดินเสิร์ฟอย่างงามสง่า และพร้อมที่จะตักแบ่งเสิร์ฟเป็นรายคนในแต่ละโต๊ะ เป็นการให้เกียรติอย่างสูง

ผมเห็นถึงความเรียบร้อย ความถ่อมสุภาพ เชื่อว่าอนาคตหากพม่าเปิดประเทศอย่างถูกทางจะเป็นคู่แข่งประเทศหนึ่งที่ไทยไม่ควรที่จะประมาทเลยทีเดียว

ผมเคยตั้งข้อสังเกตว่า ในเมืองไทยปัจจุบันอัตราการว่างงานต่ำมาก เพียง 1% เท่านั้น

และแรงงานไทยก็หายากมาก หากไปดูตามโครงการก่อสร้าง กล่าวได้ว่าเป็นยุค “พม่าสร้างเมือง” ไทยอย่างแท้จริง ซึ่งหลายคนยังอาจจะถือว่า เป็นการชดเชยยุค “พม่าเผาเมือง” สมัยกรุงศรีอยุธยา (ฮา)

และถ้าไปดูตามภัตตาคาร เจ้าหน้าที่บริกรก็เป็นชนชาติพม่าจำนวนมาก

คนไทยไปไหน ?

อัตราว่างงาน 1% แปลว่าคนมีงานทำมีจำนวนมาก กำลังในการใช้จ่ายน่าจะดี แต่อาจจะเป็นการ “ว่างงานแฝง” คือเป็นเกษตรกรจำนวนมาก ซึ่งน่าเป็นห่วงว่าคนไทย กำลัง “เสียตำแหน่งงาน” ให้ชาวต่างชาติอย่างพม่าไป ซึ่งเมื่อมีงานทำน้อย งานมีรายได้น้อย แต่หันไปทำการเกษตรมากขึ้น เมื่อฝนฟ้าไม่เป็นใจ มีเหตุภัยแล้ง น้ำในเขื่อนเหลือไม่เพียงพอสนับสนุนนาปรัง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์แทบทุกชนิดในตลาดโลกตกลง เกษตรกรไทยก็ต้องเผชิญความลำบากยากจน

แต่ถ้าคนไทยทุกๆ คนร่วมกันคิด ร่วมกันทำงาน ยึดหลักคำสอนเรื่อง “พระมหาชนก” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย ให้เรามีความมุมานะ บากบั่น คิดสร้างสรรค์ รู้รักสามัคคี เป็นคนดี คนเก่ง ซื่อสัตย์ สุจริต เราทุกคนก็จะได้ช่วยกันพัฒนาแผ่นดินไทยให้ก้าวไกลยั่งยืนครับ

(montree4life@yahoo.com; www.oknation.net/blog/richwithlove; @montrees)


กำลังโหลดความคิดเห็น