“สาระ ล่ำซำ” เผยประกันชีวิตปีนี้โตแค่ 7% ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ และเป็นสถิติที่ต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี หลังตัวเลข 5 เดือนไม่กระเตื้องโตแค่ 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ระบุเศรษฐกิจชะลอและกำลังซื้อลดลงเป็นเหตุ แต่ยังมั่นใจครึ่งปีหลังดีขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและราคาน้ำมันที่ลดลง
นายสาระ ล่ำซำ ในฐานะนายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจช่วงครึ่งปีหลังปี 2558 คาดว่าธุรกิจประกันชีวิตจะยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องแต่ในอัตราที่ลดลงกว่าทุกปี หรือลดลงมากที่สุดในรอบ 10 ปี อย่างไรก็ตาม สมาคมคาดว่าอัตราการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตในปีนี้จะเติบโตที่ประมาณ 7% จำนวนเบี้ยประกันภัยรับรวมที่ 539,000 ล้านบาท โดยต่ำกว่าที่คาดการ์ณไว้เมื่อต้นปีว่าจะเติบโตที่ 13% หรือมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 571,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาธุรกิจประกันชีวิตมีเบี้ยรับรวมทั้งสิ้น 214,579.9 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อน 2.0% แบ่งเป็นเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่ 65,338.7 ล้านบาท เติบโตลดลง 15.8% และเบี้ยประกันชีวิตรับปีต่อไป 149,241.1 ล้านบาท เติบโต 12.4% โดยมีอัตราความคงอยู่ 84% ในส่วนเบี้ยประกันชีวิตรายใหม่ จะประกอบด้วย เบี้ยประกันชีวิตปีแรก 45,320.0 ล้านบาท เติบโต 0.1% เบี้ยประกันชีวิตจ่ายครั้งเดียว 20,018.7 ล้านบาท เติบโตลดลง 38%
ในส่วนของช่องทางการจำหน่ายไตรมาสแรกที่ผ่านมามีเบี้ยประกันชีวิตที่ขายผ่านช่องทางตัวแทนประกันชีวิต 62,330 ล้านบาท เติบโต 4.2% เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา การขายผ่านธนาคาร 61,294.6 ล้านบาท เติบโตลดลง 7.1% การขายผ่านช่องทางอื่นๆ 6,048.8 ล้านบาท เติบโต 10.1% และการขายผ่านช่องทางโทรศัพท์ 4,065.3 ล้านบาท เติบโต 4.6%
“เบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่มีอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับที่ลดลงเป็นผลมาจากปัจจัยภายนอกและภายในที่สำคัญๆ คือ ปัจจัยภายนอกมาจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันชะลอตัว อัตราค่าครองชีพสูงขึ้นส่งผลต่อกำลังซื้อของประชาชนลดลง สำหรับปัจจัยภายในหลักๆ มาจากการปรับนโยบายการบริหารการขายของแต่ละบริษัทประกันชีวิตให้มีความเหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการปรับลดการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ส่งผลให้ผลงานเบี้ยประกันภัยรับใหม่มีอัตราการเติบโตแบบชะลอตัว”นายสาระกล่าว
คาด ศก.ไทยปีนี้โต 3%
นายสาระ กล่าวอีกว่า สำหรับเศรษฐกิจไทยในปีนี้น่าจะกลับมาขยายตัวที่ประมาณร้อยละ 3 หลังจากในปี 2557 มีการเติบโตเพียงร้อยละ 0.7 เนื่องจากปัจจัยลบจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยการฟื้นตัวของปีนี้น่าจะมาจากการบริโภคที่่ได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง และการลงทุนของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นจากการเร่งอนุมัติการลงทุนต่างๆ รวมถึงนโยบายการเงินที่ผ่อนปรนซึ่งน่าจะสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้
อย่างไรก็ตาม การขยายตัวด้านการลงทุนของเอกชนยังมีอุปสรรคจากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่อยู่ในระดับต่ำ และอุปสงค์ต่างประเทศที่ยังชะลอตัว ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนยังมีข้อจำกัดของหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงและสถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น