กองต่างประเทศมาแรง บลจ.เปิดขายเพิ่ม ทิสโก้จับจังหวะน้ำมันดิ่ง เปิดกองทริกเกอร์น้ำมัน 8% คาดราคาดีขึ้นช่วงครึ่งหลังปี 58 ขณะที่ บลจ.แอสเซทพลัสเปิดขายกองหุ้นยุโรป เชื่อเศรษฐกิจหนุนกำไร บจ.ระยะยาว แถมกลยุทธ์กองทุนหลักช่วยลดความผันผวนได้ ส่วน บลจ.กสิกรไทยสุดปลื้มกองหุ้นยุโรปทริกเกอร์ 8% ใช้เวลาแค่ 6 เดือน
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า จากการที่ราคาน้ำมันโลกปรับลดลงอย่างต่อเนื่องจากภาวะ Supply มากกว่า Demand ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงมาแตะที่ 44.46 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ บาร์เรล (ข้อมูล ณ วันที่ 29 ม.ค. 58) บลจ.ทิสโก้มีมุมมองว่าความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันจะลดลงอีกเริ่มจำกัด โดยคาดว่าราคาจะผันผวนอยู่ในระดับต่ำ และมีแนวโน้มว่าราคาน้ำมันดิบจะมีเสถียรภาพดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2558 จากการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐอเมริกาที่ชะลอตัวลง และจากการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศขนาดใหญ่โดยรวม
ดังนั้น เพื่อเป็นการจับจังหวะการลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนที่ดี และเพื่อรองรับความต้องการที่มีอย่างต่อเนื่องจากนักลงทุน บลจ.ทิสโก้จึงเปิดเสนอขายกอง “กองทุนเปิด ทิสโก้ ออยล์ ทริกเกอร์ 8%” กองที่ 2 หลังจากที่กองแรกได้รับเสียงตอบรับที่ดีเกินคาด เปิดเสนอขาย 2-4 ก.พ. 58 นี้
กองทุนเปิด ทิสโก้ ออยล์ ทริกเกอร์ 8% #2 จะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนน้ำมัน United States Oil Fund ซึ่งเป็นกองทุนรวมอีทีเอฟที่มีวัตถุประสงค์ในการลงทุนเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนสอดคล้องกับอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาสัญญาฟิวเจอร์ที่อ้างอิงกับน้ำมันดิบคุณภาพดี (WTI Light Sweet Crude Oil) ในตลาดไนเม็กซ์ (NYMEX) ในสหรัฐฯ และมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) ประมาณ 90% ของมูลค่าทรัพย์สินที่ลงทุนในต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายเลิกโครงการที่ 8% ภายในระยะเวลา 8 เดือน
ด้านนายรัชต์ โสดสถิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.แอสเซท พลัส จำกัด กล่าวว่า บริษัทจะทำการเปิดขายกองทุนเปิดแอสเซทพลัสยุโรปแวลู (ASP-EUROPE VALUE) ครั้งแรก 2-10 ก.พ.นี้ เนื่องจากบริษัทยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นยุโรปในระยะยาว โดยเชื่อว่านโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) จะกดดันให้ต้นทุนทางการเงินหรืออัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ และส่งผลให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของยุโรปให้ฟื้นตัวและเติบโตจากการบริโภค การลงทุน และการส่งออกที่จะปรับตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ แม้ยุโรปอาจยังต้องเผชิญความเสี่ยงจากสถานการณ์การเมือง (Geo-Political Risk) ในรัสเซียและกรีซ แต่บริษัทเชื่อว่าในระยะยาวหากเศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัวชัดเจนจะส่งผลดีต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนและผลกำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้น จึงยังเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่จะเข้าสะสมเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนสูงจากการเติบโตของหุ้นภูมิภาคยุโรปในระยะยาว
สำหรับจุดเด่นของกองทุน ASP-EUROPE VALUE อยู่ที่ความแข็งแกร่งของกองทุนหลักในต่างประเทศ คือ กองทุน E.I. Sturdza Strategic Europe Value ที่ใช้กลยุทธ์การบริหารเชิงรุกแบบ Bottom Up และมีความเชี่ยวชาญในการคัดเลือกหุ้นรายตัว ซึ่งจะเป็นกลยุทธ์ที่สร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีแม้ในสภาวะตลาดผันผวน
นายนาวิน อินทรสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ภายหลังจากที่ บลจ.กสิกรไทยได้เสนอขายกองทุนเปิดเค ยูโรเปียน อิควิตี้ ทริกเกอร์ 1 (KEET1) ไปเมื่อวันที่ 28-30 กรกฎาคม 2557 ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวสามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2558 ที่ผ่านมา กองทุน KEET1 มีมูลค่าหน่วยลงทุนแตะที่ระดับ 10.9503 บาทต่อหน่วย โดยใช้ระยะเวลาบริหารเพียง 6 เดือน ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของกองทุนที่ระบุว่า บลจ.กสิกรไทยจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติทั้งหมดเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.95 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ 8% ดังนั้น บลจ.กสิกรไทยจึงทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติทั้งหมดในวันที่ 30 มกราคม 2558 และจะชำระเงินค่าขายคืนให้แก่ผู้ลงทุนในราคาไม่ต่ำกว่า 10.95 บาทต่อหน่วย ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558
“สำหรับปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้ตลาดหุ้นยุโรปมีการปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา คาดว่าได้รับปัจจัยบวกมาจากการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินผ่านการเข้าซื้อพันธบัตร และตราสารหนี้ ด้วยวงเงินประมาณ 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2558 จนสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2559 หรือคิดเป็นเม็ดเงินรวมกว่า 1.1 ล้านล้านยูโร ซึ่งเป็นเม็ดเงินที่สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 5 แสนล้านยูโร"