บลจ.กรุงไทยคงเป้าดัชนีหุ้นไทยที่ 1,680 จุดในปีหน้า มองโอกาสเข้าลงทุนของนักลงทุนระยะยาวยังมี ปลื้มธุรกิจกองทุนรวมโต 30% พร้อมตั้งเป้าปี 2558 เติบโตประมาณ 30-40% เตรียมรุกช่องทางขายกองทุนผ่านกลุ่ม Precious ลูกค้าแบงก์กรุงไทยที่มีเงินฝาก 10 ล้านขึ้นไป
นายวีระ วุฒิคงศิริกูล รองกรรมการผู้จัดการผู้บริหารสายจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การปรับตัวลงของตลาดหุ้นค่อนข้างมากมาจากข่าวคราวที่ถูกปล่อยออกมาอย่างต่อ เนื่องเป็นหลัก เพราะในแง่ของปัจจัยพื้นฐานตลาดหุ้นไทยเองไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับกองทุนส่วนใหญ่ในภาพรวมปีนี้ก็ไม่ได้ให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่ม พลังงานมากกว่าตลาดมาตั้งแต่ต้น ส่วนใหญ่จะให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาดจึงเชื่อว่าผลกระทบต่อกองทุนคงมีไม่มากนัก แต่การที่ราคาน้ำมันโลกปรับตัวลงและหุ้นกลุ่มพลังงานมีสัดส่วนมากก็ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงด้วย
ในส่วนกองหุ้นของบริษัทเองมีการปรับพอร์ตตั้งแต่ดัชนีขึ้นมาแตะระดับ 1,600 จุดมาระยะหนึ่งแล้วจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนักในการปรับตัวลงครั้งนี้ อาจจะมีบ้างบางส่วนในส่วนของกองทุนส่วนบุคคลที่ลงทุนในหุ้นอาจจะต้องมีการขายหุ้นเพื่อตัดขาดทุนออกไป ทั้งที่จริงๆ น่าจะเป็นจังหวะในการเข้าลงทุนมากกว่า
“สำหรับนักลงทุนระยะยาวเองเชื่อว่าคงจะเข้าทยอยลงทุนไม่ได้ขายหุ้นแต่ประการใด รวมถึงนักลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่หาจังหวะเข้าลงทุนตั้งแต่ช่วงต้นปีก็น่าจะมีเงินไหลเข้ามาลงทุนด้วยเช่นกัน แต่ในส่วนของนักลงทุนระยะสั้นอาจจะมีบางส่วนขายลดความเสี่ยงออกไปก็จะมีทั้งเงินที่ไหลเข้าและไหลออก แต่ถ้ามองไปไม่คิดว่าตลาดจะปรับตัวลงไปได้มากกว่านี้ และมองไปถึงเป้าหมายดัชนีปีหน้าก็ยังมองไว้ที่ 1,680 จุด จึงมองเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนเพื่อหวังผลระยะยาวมากกว่า”นายวีระกล่าว
ทางด้านนายวิโรจน์ ตั้งเจริญ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด 1 บลจ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้บริษัทมียอดขายผ่าน บมจ.ธนาคารกรุงไทยเติบโตขึ้นประมาณ 30% คิดเป็นยอดขายกองทุนประมาณ 135,000 ล้านบาท คาดว่าในปี 2558 จะเติบโตได้อีกประมาณ 40% โดยปัจจุบันช่องทางการขายหลักยังมาจากสาขาธนาคารกรุงไทยซึ่งเป็นแบงก์แม่ประมาณ 85% และผ่านตัวแทนขายประมาณ 15%
โดยในส่วนของช่องทางการขายผ่านสาขานั้นได้รับการสนับสนุนจากธนาคารกรุงไทยเป็นอย่างดี โดยเฉพาะช่องทางการขายของกลุ่ม Precious ที่มีเงินฝาก 10 ล้านบาทขึ้นไป คิดเป็น 25% ซึ่งยังมีช่องทางเข้าไปทำตลาดได้อีกมาก โดยเฉพาะการวางแผนทางการเงินให้กับลูกค้ากลุ่มนี้
“นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมหาโปรดักต์ที่ครอบคลุมการลงทุนให้นักลงทุนได้เลือกลงทุนในหลายประเทศและภูมิภาค เช่น โซนสหรัฐฯ เอเชีย ยุโรป รวมถึงการแบ่งประเภทลงในระดับภูมิภาค เช่น ตลาดเกิดใหม่ และเอเชียเหนือ เป็นต้น โดยกองทุนที่เป็นลักษณะเช่นนี้จะช่วยให้นักลงทุนกระจายการลงทุนได้เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา และช่วยให้นักลงทุนสามารถนำกองทุนไปจัดพอร์ตการลงทุนเพื่อบริหารเงินของตัวเองได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย”
นายวิโรจน์ ยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทกำลังเสนอขายกองทุนกรุงไทย คอนเซอเวทีฟ 25/75 เพื่อการเลี้ยงชีพ (KT25/75 RMF) จนถึงวันที่ 22 ธ.ค. 57 นี้ ข้อดีของกองทุนดังกล่าวคือ นักลงทุนไม่ต้องจัดพอร์ตการลงทุนหลังเกษียณเอง ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ที่อายุเกิน 55 ปีไปแล้วยังสามารถลงทุนและคงเงินไว้ในกองทุน RMF ได้ต่อ โดยกองทุน KT25/75 RMF จะเน้นบริหารการลงทุนในแบบจัดสรรส่วนการลงทุน (Asset Allocation) เพื่อควบคุมความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นไม่เกิน 25% ส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนน่าสนใจ
นอกจากนี้ยังมีแผนจะเปิดขายกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ที่ไปลงทุนในกลุ่มเอเชียเหนือด้วยเช่นกัน ซึ่งบริษัทมองว่าเศรษฐกิจในกลุ่มนี้ยังมีศักยภาพการเติบโตที่สูงอยู่และเป็นโอกาสที่น่าสนใจในการลงทุน